ในการผลิตบูดูนิยมใช้ปลาที่มีไขมันมาก
เช่น ปลากะตัก ซึ่งมีไขมันถึง 13-16 เปอร์เซ็นต์ ไขมันในตัวปลาเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวสูงโดยเฉพาะกรดไขมันที่มีจำนวนคาร์บอนอะตอม
10, 18, 20 และ 22 อะตอม และพบว่าประมาณ 57 เปอร์เซ็นต์ของกรดไขมันจากปลามีจำนวนคาร์บอนอะตอมเป็นเลขคู่
ไขมันในตัวปลาซึ่งประกอบด้วยไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) เป็นส่วนใหญ่
จะถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ในตัวปลาและจากจุลินทรีย์ให้กรดไขมันที่ระเหยได้และระเหยไม่ได้รวมทั้งคีโตน
(ketone) และแอลดีไฮด์ (aldehyde) เนื่องจากเอนไซม์จากจุลินทรีย์ที่ย่อยโปรตีนทำงานได้ดีกว่าเอนไซม์ที่ย่อยไขมันดังนั้นกลิ่น
และรสต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการย่อยโปรตีนจะเด่นและมีมากกว่ากลิ่นรสที่เกิดจากการย่อยไขมัน
กรดไขมันน่าจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดกลิ่นและรสชาติของบูดูเพราะปรากฏว่าปลาที่นำมาทำบูดูที่มีคุณภาพนั้นเป็นปลาที่มีไขมันสูง
เมื่อเวลาหมักปลานานขึ้นปริมาณด่างและกรดที่ระเหยได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และสิ้นสุดเมื่อหมักได้ 9 เดือน หลังจากนั้นปริมาณด่างและกรดที่ระเหยได้จะลดลงอย่างรวดเร็วแสดงว่าการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของเนื้อปลาได้สิ้นสุด
เมื่อหมักปลาได้ 9 เดือน กรดที่ระเหยได้ที่พบได้แก่ กรดอะซิติก (acetic
acid) กรดโพรไพโอนิก (propionic acid)
กรดบิวทิริก (n-butyric acid) กรดไอโซวาเลอริก (iso-valeric acid) ส่วนกรดที่ระเหยไม่ได้
ได้แก่ กรดแลคติกเข้าใจว่ากรดนี้ได้จากผลของแบคทีเรีย
ตารางแสดงปริมาณกรดไขมันที่ระเหยได้ในบูดู
กรดไขมัน |
ปริมาณ
(มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) |
กรดอะซิติก
(acetic acid) |
2.10 |
กรดโพรไพโอนิก
(propionic acid) |
0.12 |
กรดไอโซบิวทิริก
(iso-butyric) |
0.00 |
กรดบิวทิริก
(n-butyric acid) |
0.23 |
กรดไอโซวาเลอริก
(iso-valeric acid) |
0.07 |
ที่มา
: Beddows และคณะ (1979) อ้างโดย นงลักษณ์ เกียรติตันสกุล (2542)
เกี่ยวกับไขมัน
โมเลกุลไขมันประกอบด้วยกลีเซอรอล
(glycerol) และกรดไขมัน (fatty acid) จำนวนกรดไขมันในโมเลกุลไขมันอาจจะมีจำนวนเป็นหนึ่ง
เรียกว่า มอโนกลีเซอไรด์ (monoglyceride) หรือมีกรดไขมันเป็นสองเรียกว่า
ไดกลีเซอไรด์ (diglyceride) และถ้ามีจำนวนกรดไขมันเป็นสามเรียกว่า ไตรกลีเซอไรด์
(triglyceride) ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันที่พบมากที่สุดในสัตว์และพืช
ในการรวมกันของโมเลกุลของกลีเซอไรด์กับแต่ละโมเลกุลของกรดไขมันจะได้น้ำ
1 โมเลกุล
อักษร R แทนหมู่ไฮโดรคาร์บอนซึ่งประกอบด้วยอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจน
ซึ่งมีจำนวนแตกต่างกันไปตามชนิดของกรดไขมัน ตัวอย่างเช่น กรดสเตียริก
R คือ ไขมันซึ่งมีกรดเป็นสเตียริกเป็นองค์ประกอบทั้ง
3 โมเลกุลคือ ไตรสเตียรีน จะมีสูตรโครงสร้าง
กรดไขมันมีมากมายหลายชนิด
แต่ละชนิดมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจนใน R แตกต่างกัน ดังตัวอย่าง
เมื่อพิจารณาสูตรโครงสร้างของกรดไขมัน
3 ชนิดดังกล่าว จะเห็นว่ากรดไลโนเลอิก และกรดโอเลอิก อะตอมของคาร์บอนยังสามารถรับอะตอมของไฮโดรเจนได้อีก
แต่อะตอมของคาร์บอนในกรดปาล์มิติกไม่สามารถรับอะตอมของไฮโดรเจนได้อีก
กรดไขมันที่อะตอมของคาร์บอนมีพันธะเดี่ยวไม่สามารถรับอะตอมของไฮโดรเจนได้อีก
เรียกว่า กรดไขมันอิ่มตัว ส่วนกรดไขมันที่อะตอมของคาร์บอนบางตัวมีพันธะคู่สามารถรับอะตอมของไฮโดรเจนได้อีก
เรียกว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัว
นอกจากนี้เรายังอาจจะแบ่งกรดไขมันตามความจำเป็นของร่างกายอีก
กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย หมายถึง กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร
เช่น กรดไลโนเลอิกจำเป็นต่อร่างกาย ถ้าขาดกรดนี้ร่างกายจะไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร
และมีความสำคัญในด้านช่วยเร่งการเผาผลาญคอเลสเทอรอล กรดไขมันอีกชนิดหนึ่งคือ
กรดไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย หมายถึง กรดไขมันที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เอง