|
ธูปฤาษี |
ผักตบชวา |
การผลิตกระดาษ |
|
กกช้าง Typha angustifolia L.
วงศ์ Typhaceae
ชื่อสามัญไทย ธูปฤๅษี กกช้าง กกธูป เฟื้อง หญ้ากกช้าง หญ้าปรือ
หญ้าเฟื้อง เฟื้อ (กลาง); ปรือ (ใต้); หญ้าสลาบหลวง (เหนือ) หญ้าสะลาบหลวง
ชื่อสามัญอังกฤษ lesser reedmace, narrow-leaved cat tail, bulrush, cattail,
flag, reedmace tule, narrowleaf cattail
กกช้างเป็นไม้ล้มลุกสองปี เหง้ากลม แทงหน่อขึ้นเป็นระยะสั้นๆ ใบเดี่ยว เรียงสลับระนาบเดียว
รูปแถบกว้าง 1.2-1.8 ซม. ยาวประมาณ ๒ ม. แผ่นใบด้านบนโค้งเล็กน้อยเพราะมีเซลล์หยุ่นตัวคล้ายฟองน้ำหมุนอยู่กลางใบ
ส่วนด้านล่างแบน ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ดอกมีจำนวนมาก ติดกันแน่น สีน้ำตาล ลักษณะคล้ายธูปดอกใหญ่
ก้านช่อดอกกลม แข็ง ดอกแยกเพศ แบ่งเป็นตอนเห็นได้ชัด กลุ่มดอกเพศผู้อยู่ปลายก้าน
รูปทรงกระบอกยาว 15-30 ซม. และทิ้งช่วงห่างกลุ่มดอกเพศเมีย 0.5-12 ซม. ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้
2-3 อัน และมีขนแบนรูซ้อน 3 เส้น กลุ่มดอกเพศเมียรูปทรงกระบอกเช่นกันแต่ใหญ่กว่าดอกเพศผู้
ยาว 3-28 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. มีใบประดับย่อย (bracteole) เป็นส้นปลายสีน้ำตาลมากมายแซมดอก
โคนก้านชูเกสรเพศเมีย (gynophore) มีขนยาวสีเงินหลายเส้น ดอกแก่จะแตกเห็นเป็นขนขาวฟู
รังไข่มีช่องเดียว มีออวุล 1 เม็ด ผลเล็กมาก เมื่อแก่แตกตามยาว
กกช้างมีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทั่วทุกภาค พบในที่ลุ่มทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม
ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลก ใบยาวและเหนียวนิยมใช้ทำเครื่องจักสาน
เช่น เสื่อ ตะกร้า ใช้มุงหลังคา กินได้ แป้งที่ได้จากลำต้นใต้ดินและรากใช้บริโภคได้เช่นกัน
ในอินเดียเคยใช้ก้านช่อดอกทำปากกา และเชื่อว่าลำต้นใต้ดินและรากใช้เป็นยาบำบัดโรคบางชนิด
เช่น ขับปัสสาวะ เยื่อ (pulp) ของต้นกกช้างนำมาใช้ทำใยเทียม (rayon) และกระดาษได้
มีเส้นใย (fibre) ถึงร้อยละ 40 เส้นใยนี้มีความชื้นร้อยละ 8.9 เซลลูโลส (cellulose)
ร้อยละ 63 เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) ร้อยละ 8.7 ลิกนิน (lignin) ร้อยละ 9.6
ไข (wax) ร้อยละ 1.4 และเถ้า (ash) ร้อยละ 2 เส้นใยมีสีขาวหรือน้ำตาลอ่อน นำมาทอเป็นผ้าใช้แทนฝ้ายหรือขนสัตว์
กกช้างมีปริมาณโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตค่อนข้างสูง กากที่เหลือจากการสกัดเอาโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตออกแล้วใช้แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน
(anaerobic bacteria) ย่อย จะให้แก๊สมีเทน (methane) ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ผลของกกช้างมี
long chain hydrocarbon 2 ชนิด คือ pentacosane และ I-triacontanol สารพวก phytosteral
2 ชนิด คือ B(beta)-sitosterol และ B(beta)-sitosteryl-3-0-B(beta)-D-glucopyranoside
กกช้างสามารถกำจัดไนโตรเจนจากน้ำเสียในที่ลุ่มต่อไร่ได้ถึง 400 กก. ต่อปี และสามารถดูดเก็บโพแทสเซียมต่อไร่ได้ถึง
690 กก. ต่อปี จึงเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่จะมีบทบาทเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคตใ
ผู้เขียนอ
นางสาวอำไพ ยงบุญเกิด
|
|