![](https://nectec.or.th/wp-content/uploads/2023/09/Startup-ai--1024x538.png)
ในโลกที่ AI ได้ผสานเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับการใช้ชีวิตในทุกไลฟ์สไตล์ หลากหลายตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจที่นำ AI เข้ามาสร้างความเหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ตลาดเทคโนโลยี AI เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามความสามารถของเทคโนโลยีที่ล้ำขึ้นทุกวัน
หากมองย้อนกลับไปในช่วง 8 – 10 ปีก่อน ที่ AI ยังไม่มีตัวอย่างการใช้งานมากนัก เรื่องราวที่ AI จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ ในวันที่น้อยคนจะรู้จัก AI คุณกล้าหรือไม่ที่จะเริ่มต้นลงทุนทำธุรกิจนี้
เนคเทค สวทช. ชวน Startup AI ไทย นำโดย ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย Founder & CEO BOTNOI Group และ ดร.อิทธิพันธ์ เมธเศรษฐ CTO/Co-Founder, บริษัท ZTRUS พูดคุยถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของธุรกิจ AI ในไทย รวมถึง โอกาสของธุรกิจ AI ไทย กับ การสนับสนุนจากภาครัฐ
— เริ่มต้นจาก ‘โอกาส’ หากไม่คว้าไว้ อาจไม่กลับมาอีก
ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย Founder & CEO BOTNOI Group เล่าว่า “ประเทศไทยมีบริษัท Startup ที่เรื่อง AI น้อยมาก ๆ ตอนนั้นมันเป็นเหมือนโอกาส และความโชคดีที่ Botnoi ได้รับรางวัล Conservation Award จาก LINE BOT AWARD ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2017 เหมือนเป็นการรับรองความสามารถของบริษัทในระดับหนึ่ง รวมถึงโอกาสที่ได้รับโอกาสจากลูกค้าที่ให้ความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ จึงรู้สึกว่าหากเราไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ในอนาคตสิ่งนี้อาจจะกลับไม่กลับมาอีก จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการใช้ความรู้เรื่องของเทคโนโลยี AI ที่เรามีมาพัฒนาประเทศ ให้คนในประเทศสามารถเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้น ในราคาที่ถูกลง
![](https://nectec.or.th/wp-content/uploads/2023/09/Startup-ai-2-1024x684.jpg)
เริ่มต้นจาก ‘นักวิจัย’ หากไม่ก้าวออกจากแลป อาจปิด ‘Gap’ ผู้ใช้งานไม่ได้
การเป็นนักวิจัยที่อยู่ในห้องแลปเป็นส่วนใหญ่ แม้จะได้พบปะพูดคุยกับผู้ใช้งาน หรือ ลูกค้าอยู่บ้าง แต่อาจไม่เพียงพอ ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI ด้าน Speech to text และ NLP “เราเป็นนักวิจัยมานาน เมื่อออกมาสู่ตลาดจริง ๆ พบว่า การนำงานวิจัยด้าน AI ไปสู่ตลาดนั้นยังมีช่องว่างอยู่มาก จากการเจอและต้องทำความเข้าใจโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของผู้ใช้งาน” ดร.ชูชาติกล่าว
![](https://nectec.or.th/wp-content/uploads/2023/09/Startup-ai-4-1024x684.jpg)
สอดคล้องกับ ดร.อิทธิพันธ์ เมธเศรษฐ CTO/Co-Founder, บริษัท ZTRUS ในช่วงที่เป็นนักวิจัย “ทำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่รู้สึกว้าว แต่เมื่อเริ่มทำบริษัทจึงเห็นช่องว่างบางอย่างของการนำเทคโนโลยีไปใช้จริง ช่องว่างที่ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร หรือที่เรียกว่า Valley of Death จึงตัดสินใจว่าต้องออกไปเผชิญตลาดข้างนอก”
“การสื่อสาร” ความท้าทายที่ Startup AI ต้องทำความเข้าใจ
การสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการเป็นความท้าทายแรกที่ดร.วินน์ กล่าวถึงเพราะในช่วงเริ่มต้น AI เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีตัวอย่างประกอบการอธิบายมากนักว่า AI สามารถเอาไปใช้อะไรได้บ้างในองค์กร ผลตอบแทนที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้ AI คืออะไร ยิ่งไปกว่านั้นการสื่อสารกับบุคลากรภายในเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของบริษัท (branding) ก็พบกับปัญหานี้เช่นกัน
“BOTNOI Group จึงกำหนดเป้าหมายของบริษัท คือ การ localized AI ให้คนไทยสามารถใช้งานได้ เข้าถึงได้ง่าย ด้วยราคาที่ถูกลง จากนั้นต้องพยายามสื่อสารโดยอิงจากงานที่เรากำลังทำอยู่ เพราะจริง ๆ แล้ว AI มีอยู่ทั่วโลก ทั่วประเทศ หากพยายามหาคนเปรียบเทียบนั่นหมายความว่าสิ่งที่เราขายเหมือนกับสิ่งที่มันมีแล้วในตลาด ไม่ได้สร้างความแตกต่าง และลูกค้าก็จะมองหา branding ที่สูงกว่าเรา” ดร.วินน์ อธิบาย
![](https://nectec.or.th/wp-content/uploads/2023/09/Startup-ai-9-1024x684.jpg)
ในมุมของบริษัท ZTRUS ดร.อิทธิพันธ์ เล่าว่า ความท้าทายในช่วงแรก คือ “ความใหม่” ของทั้งเทคโนโลยี ผู้ใช้งาน และในฐานะที่เป็นนักวิจัย พูดภาษาแบบนักวิจัย “เวลาอธิบาย ผู้ใช้ทำหน้างง ๆ แล้วก็ชมว่าดี แต่ไม่ซื้อ” จึงค่อย ๆ ปรับมาเรื่อย ๆ เพื่อตอบผู้ใช้ให้ได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้ต้องลงทุน คืนทุนเท่าไหร่ จะช่วยลดภาระงานของผู้ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน
สอดคล้องกับบริษัท AI9 ที่มีการปรับตัวเพื่อสื่อสารกับลูกค้า โดยเน้นพูดคุยสอบถามความต้องการของผู้ใช้งานหลาย ๆ รอบ เนื่องจากผู้ใช้งานมีหลากหลายประเภท มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก “เวลาคุยกับลูกค้าจึงต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้ามีความเข้าใจในระดับไหน ปัญหาที่แท้จริงคืออะไร เพื่อให้เราสามารถเสนอโซลูชันที่ตรงใจ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีที่สุด” ดร.ชูชาติ กล่าว
— โอกาสของธุรกิจ AI ไทย กับ การสนับสนุนจากภาครัฐ
โอกาสของธุรกิจ AI ในไทยนั้นมีอยู่มาก แต่ความยากอย่างหนึ่ง คือ เทคโนโลยีจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายบริษัทใหญ่อาจไม่ได้ลงลึกถึงลูกค้า โดยจะมีบริษัทตรงกลางนำโซลูชันเหล่านั้นทำก่อน ซึ่งหากธุรกิจ AI ไทยสามารถเข้ามาสร้างกระบวนการให้กับให้กับตลาดในไทยได้ก่อนก็จะเป็นโอกาสที่ดี
สำหรับความคาดหวังการสนับสนุนจากภาครัฐ ดร.อิทธิพันธ์ มองว่า องค์ประกอบของระบบนิเวศ AI นั้นมีหลายผู้เล่นช ดังนั้นภาครัฐควรส่งเสริมสนับสนุนทั้งระบบนิเวศ สำหรับมุมของเทคโนโลยีการสนับสนุนบริษัทที่เป็นผู้ผลิตหรือให้บริการก็เป็นส่วนสำคัญ ยกตัวอย่าง AI for Thai Platform ที่รวบรวมบริการ AI ในรูปแบบ API ให้เรียกใช้ได้ก็เป็นตัวกระตุ้นตลาดอย่างหนึ่ง รวมถึงการสนับสนุนด้านแหล่งเงินทุนที่ทำให้ AI Startup สามารถนำ AI ไปสู่ตลาด โดยให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงความเสี่ยงลดลง มีความคุ้มค่ามากขึ้น ทำให้ตัดสินใจใช้งาน AI ได้ง่ายขึ้น
สอดคล้องประสบการณ์ของดร.ชูชาติ ในเรื่องของการสนับสนุนแหล่งเงินทุน เนื่องจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ AI บางอย่างยังเป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีองค์กรใด ๆ ใช้งาน เมื่อบริษัทออกแบบไปเสนอ จะเกิดคำถามเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานในหลายมิติ ซึ่งบริษัทเองอาจไม่มีงบประมาณจะพัฒนาบริการให้สามารถตอบคำถามดังกล่าวอย่างชัดเจนได้ “เป็นปัญหาไก่กับไข่ ถ้าบริษัทไม่ทำ ลูกค้าไม่เห็นของ ก็ไม่สามารถตัดสินใจซื้อได้ หากมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนให้สามารถเริ่มดำเนินงานได้เร็ว จะช่วยให้ตลาด AI ในไทยเติบโตได้เร็วขึ้น” ดร.ชูชาติ กล่าว
ดร.วินน์ มองว่า การสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างคอนเนคชันกับต่างประเทศก็เป็นประเด็นสำคัญ ปัจจุบันเราทำธุรกิจ AI อาจโฟกัสอยู่แค่ในเมืองไทย แต่จากประสบการณ์ที่ดร.วินน์ได้ไปพูดคุย ศึกษาระบบ และผลงานกับนักพัฒนาจากประเทศต่าง ๆ พบว่าความสามารถของนักพัฒนาไทยนั้นไม่แพ้ต่างประเทศ “ดังนั้นจากเดิมที่เราเปิดโอกาสให้นักพัฒนาต่างประเทศเข้ามาศึกษา ลงทุน หรือเกิดความร่วมมือในประเทศไทย ในทางกลับกันภาครัฐอาจสนับสนุนให้นักพัฒนาไทยได้มีโอกาสดังกล่าวเช่นกัน เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่ง” ดร.วินน์ อธิบาย