- บทความ | ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร
- นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
รายงานของ Max von Laue ที่ค้นพบการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ผ่านโครงสร้างของคริสตัล ทำให้ William H. Bragg ผู้เป็นพ่อและ William L. Bragg ลูกชาย ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว โดยเฉพาะสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน และ มีความสำคัญมากอย่างความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างของคริสตัล และ ความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์ ที่ส่งผลต่อลักษณะการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์
แทนที่จะพิจารณาถึงผลของอะตอมแต่ละตัวที่เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบในโครงสร้างของคริสตัลที่ทำให้รังสีเอ็กซ์เลี้ยวเบนได้นั้น สองพ่อลูกตระกูล Bragg ได้ตั้งสมมติฐานที่ง่ายขึ้นด้วยการพิจารณาระนาบของอะตอมที่เรียงตัวอยู่ด้วยกันแทนเพื่อให้ได้มาซึ่งสมการคณิตศาสตร์ที่สามารถอธิบายถึงการเลี้ยวเบนดังกล่าวได้ ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “สมการ Bragg (Bragg Equation)”
สมการดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นของรังสีเอ็กซ์ ระยะห่างของระนาบของอะตอมที่อยู่ใกล้กันในโครงสร้างของคริสตัล มุมตกกระทบของรังสีเอ็กซ์ และ มุมที่รังสีเอ็กซ์เลี้ยวเบนออกมา ความสัมพันธ์ที่แสดงในสมการ William L. Bragg ผู้เป็นลูกมีส่วนสำคัญในการพัฒนาขึ้นมา ซึ่งในบางครั้งเราเรียกว่าสมการ Lawrence (Lawrence Equation)
นอกจากทฤษฎีที่ได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว William H. Bragg ผู้พ่อยังได้ประดิษฐ์เครื่องสเปกโตรมิเตอร์ที่ใช้รังสีเอ็กซ์ในการตรวจสอบโครงสร้างของคริสตัล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเครื่องตรวจการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (X-Ray Diffractometer) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอีกด้วย
ผลงานที่สำคัญเช่นนี้ ทำให้คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลได้มอบรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ให้แก่พ่อลูกตระกูล Bragg และ ถือได้ว่า William L. Bragg เป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลโนเบล โดยในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น
- ประวัติย่อ : William H. Bragg
William H. Bragg เกิดที่ Westward ที่สหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฏาคม ค.ศ. 1862 และเป็นเด็กที่เรียนเก่งซึ่งดูได้จากการที่ได้รับทุนเข้าเรียนที่ Trinity College ในปึ ค.ศ. 1881 ทั้งยังอยู่ในลำดับที่สามของการแข่งขันคณิตศาสตร์เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 และลำดับที่หนึ่งในเดือนมกราคมปีถัดไป William H. Bragg มีโอกาสเข้าเรียนฟิสิกส์และทำงานในห้องปฏิบัติการ Cavendish ช่วงปี ค.ศ. 1885 และปลายปีได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่ University of Adelaide ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงปี ค.ศ. 1909-1915 ได้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ที่ Leads ช่วงปี ค.ศ. 1915-1925 ได้เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ที่ University College London และศาสตราจารย์ทางด้านเคมีที่ Royal Institution เขามีความสนใจงานวิจัยในหลายหัวข้อ และเมื่อเขาสนใจแล้วก็สามารถสร้างผลงานดีๆ ไว้ได้เสมอ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้รับผิดชอบงานวิจัยทางด้านการตรวจวัดเสียงใต้น้ำและตรวจหาตำแหน่งของเรือดำน้ำ
- ประวัติย่อ : William L. Bragg
William L. Bragg เป็นบุตรของ Willam H. Bragg เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1890 ที่ Adelaide ประเทศออสเตรเลีย William L. Bragg เข้าเรียนระดับปริญญาตรีด้านคณิตศาสตร์ที่ University of Adelaide และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับที่หนึ่งในปี ค.ศ. 1908 ในปีถัดไปได้กลับไปสหราชอาณาจักรกับบิดาและได้รับทุน Allen Scholar เข้าเรียนที่ Trinity College ปลายปี ค.ศ. 1912 มีผลงานตีพิมพ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาปรากฏการณ์ของ Max von Laue ปี ค.ศ. 1914 เป็นผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ Trinity College ปี ค.ศ. 1921 เข้าทำงานที่ Royal Society ในช่วงปี ค.ศ. 1938-1953 เป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ที่ Cambridge และนั่งตำแหน่งประธานในคณะกรรมการที่ปรึกษาทางด้านความถี่ในช่วงปี ค.ศ. 1958-1960
แหล่งข้อมูล
- Nobel Lectures in Physics 1901-1921, World Scientific Publishing, November 1998.
- https://nobelprize.org, accessed Feb 2019.
- https://en.wikipedia.org, accessed Feb 2019.
- ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร, โฟโทนิกส์ มหัศจรรย์แห่งแสง, นานมีบุ๊คพับลิเคชัน, กรุงเทพฯ, กุมภาพันธ์ 2549.
บทความที่เกี่ยวข้อง
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 1 | ค.ศ.1901 สำหรับการค้นพบรังสีเอ็กซ์
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 2 | ค.ศ.1902 สำหรับการค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างสนามแม่เหล็กและแสง
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 3 | ค.ศ.1907 สำหรับการคิดค้นเครื่องมือวัดความละเอียดสูงด้วยแสงและการศึกษาทางด้านสเปกโตรสโคปี
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 4 | ค.ศ.1908 สำหรับการค้นพบวิธีการผลิตภาพสีด้วยหลักการแทรกสอดของแสง
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 5 | ค.ศ.1911 สำหรับการค้นพบกฎสำคัญที่อธิบายการแผ่รังสีความร้อน
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 6 | ค.ศ.1912 สำหรับการประดิษฐ์วาล์วขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้เปิดและปิดไฟให้กับประภาคารและทุ่นลอย
- แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 7 | ค.ศ.1914 สำหรับการค้นพบการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ผ่านคริสตัล