เทคโนโลยีสำหรับ Metaverse จะ disrupt โลกภายในปีไหน? และคนทั่วไปกับธุรกิจจะเตรียมตัวอย่างไรดี

Facebook
Twitter
โดย ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา
นักวิจัยทีมโครงสร้างพื้นฐานซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (SCO)
ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

เมื่อพูดถึง Metaverse คนมักจะนึกถึง Ready Player One ซึ่งมันเหมือนจริงมาก ได้มีการทำนายไว้ว่า ภายในช่วงปี 2030-2039 (9-19 ปี) เทคโนโลยีโลกเสมือน ผู้เล่นจะเห็น สัมผัส ได้กลิ่น ได้ยิน ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตในโลกจริง

หากลองนึกถึง Implication  ถ้าโลกเสมือนไม่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงจะอย่างไร ในบางมุมอาจจะดีกว่าโลกแห่งความจริง เพราะน้ำหนักไม่ต้องลดก็ดูผอมได้ หน้าตาไม่สวยก็สวยได้ มีการมองกันว่า เมื่อถึงเวลานั้น คนบางส่วนอาจจะเลือกที่อยู่ในโลกเสมือนโดยไม่ออกมาในโลกแห่งความจริงอีกเลย เพราะว่ามันดีกว่าความเป็นจริง ลองนึกถึงซีนใน Matrix ที่ Cypher นั่งกินสเต๊กดูคงพอเห็นภาพ

The future is closer than you think 

กระแสการ Disrupt ที่ผ่านมาส่งผลกระทบให้กับหลายชีวิต และ หลายบริษัทอย่างมากมาย Metaverse เมื่อทำเทคโนโลยีได้เสมือนจริงมาก (หรือใกล้มากๆ) ก็จะส่งผลกระทบกับคนหนักว่าการดิสรับที่ผ่านมาเสียอีก ซึ่งคำถามคือแล้วมันจะเป็นไปถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

นอสตราดามุนสายเทค

ในสายเทคโนโลยีคนที่ได้การยอมรับว่าเป็นนอสตราดามุสของสายเทคโนโลยี ถึงขนาดที่ Bill Gate พูดว่า “เขาคือคนที่มองอนาคตได้แม่นที่สุดด้าน AI” 

เขาคนนั้น คือ Ray Kurzweil ปัจจุบันเป็น Director of Engineering ที่ Google ตั้งแต่ปี 1990 เขาทำนายประมาณ ​147 เรื่อง ถูกประมาณ 86% ซึ่งถือว่าสูงมาก

เช่น เขาทำนายถูกว่าจะมีคอมพิวเตอร์เล่นชนะหมากรุกคนภายในปี 1998 (ปี 1997 IBM Deep Blue ชนะ Garry Kasparov) ทำนายการเกิดขึ้นของ search engine (Google), Wireless Network, Exoskeleton, Apple Siri, AR บนแว่นตา ซึ่งแม่นมาก เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้เกิดขึ้นภายในเวลาที่เขาบอก

แนวทางการทำนายของ Ray Kurzweil

Kurzweil ใช้ Moore’s Law [3] เป็นหนึ่งองค์ประกอบของการทำนาย ส่วนวิธีทำนายแบบลึกๆ นั้นไม่น่าจะมีเปิดเผย แต่ Moore’s Law กล่าวไว้ว่า จำนวนทรานซิสเตอร์ในชิพจะเพิ่มขึ้นสองเท่า ในทุกสองปี ในขณะที่ราคาถูกลงสองเท่า ซึ่งจำนวนทรานซิสเตอร์ที่เพิ่มขึ้นหมายถึง พลังการคำนวณที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด เมื่อพลังคำนวณถึงในแต่ละระดับ ปัญหาทางเทคนิคที่เคยทำไม่ได้ ก็จะเป็นไปได้

เปิดคำทำนายในอนาคต

จากสถิติการทำนายที่ผ่านมา ทำให้คำทำนายในอนาคตของ Ray ถูกจับตามอง ซึ่งคำทำนายเขาล้ำอยู่เหมือนกัน เราอาจจะมองว่ามันเป็นไปได้หรือ แต่อย่าลืมว่า technology ไปเร็วแบบ Exponential คนเรามักจะนึกไม่ถึง อย่างเรื่องกล้องดิจิทัลกับโกดักเป็นต้น มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

 
ภายในปี 2030
  1. โรคส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะรักษาได้ด้วย nanobots
  2. การกินอาหารแบบปกติจะเปลี่ยนไปโดยใช้ระบบ nano เข้ามาแทน
  3. รถขับอัตโนมัติจะถูกใช้อย่างแพร่หลาย คนทั่วไปอาจะไม่ถูกอนุญาตให้ขับรถเองได้
  4. AI จะฉลาดกว่ามนุษย์

ภายในปี 2040

  1. Virtual Reality อย่างที่บอกไปแล้วจะเหมือนจริงมาก
  2. สามารถ Upload จิตใต้สำนึกไปเก็บไว้ได้ (แบบ Altered Carbon) มนุษย์จะ ‘ไม่แก่ตาย’ อีกต่อไป
  3. AI จะเก่งกว่าเราเป็นพันล้านเท่า 
  4. Nanobots จะสามารถสร้างอาหารจากอากาศ และ สามารถสร้างวัสดุขึ้นมา (อารมณ์เหมือน 3D printing ในอากาศ) ได้อย่างรวดเร็ว

ภายในปี 2045

  1. มนุษย์จะเพิ่มศักยภาพตัวเองโดยการ ‘เชื่อมต่อเข้ากับ network ของระบบคำนวณทำให้ เราสามารถใช้ทรัพยากรคำนวณได้เหมือน AI
  2. ทั้งโลกจะเป็น Computer เครื่องใหญ่ (อย่าลืมว่า Nanobots สามารถสร้างอะไรได้อย่างรวดเร็ว)

ภายในปี 2099

เครื่องจักรจะสร้างคอมพิวเตอร์ใหญ่ขนาด ดาวเคราะห์ อีกมากมาย

ในระยะ 10-20 ปี อะไรจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง | Thought_Experiment

ปี 2045 นี่คนอ่านส่วนใหญ่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ จะสังเกตว่า Technology จะ Converge เข้ามาแบบเร็วมาก ทำให้เป็นทั้งเรื่องที่น่าตื่นเต้น และ น่ากังวลในขณะเดียวกัน ตอนนี้เรามีเวลามอง คิด และ เตรียมการซักประมาณ 10 ปีจึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า จะทำอะไร ธุรกิจอะไรจะอยู่ อะไรจะไป ลูกจะเรียนอะไรดี

มาลองกาวเล่นๆ กันว่า ในระยะ 10-20 ปี อะไรจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

#Thought_Experiment

1. คนที่ทำวิจัยด้านการแพทย์น่าจะพอไปได้ (Medical Research) ส่วนการให้บริการทางการแพทย์ (Medical Service) จะลดความสำคัญลงไปมาก (หมอตกงาน) มีปัญหาก็ไปฉีด nanobots

2. อุตสาหกรรมรถยนต์ลดลง เพราะคนต่อท่ออยู่เป็นผักในบ้าน  Uber แบบไร้คนขับจะมีให้บริการทั่วไป ดังนั้นจำนวนรถจะลดลง

3. อุตสาหกรรมอาหาร พวกร้านอาหาร เลี้ยงสัตว์ ประมง อาจจะต้องนับถอยหลัง ไปนั่งกินใน Metaverse เอารสชาติสเต๊กอร่อยๆ ดีกว่า  มีnano systemให้อาการกับร่างกาย แต่สัญญาณประสาทตีความเป็นของกินที่อร่อยกว่า

4. อุตสาหกรรมเสื้อผ้า เสริมสวย … ไม่ออกจากบ้าน คงไม่ต้องสวยเท่าไหร่ละ ถ้าจะรุ่งต้องไปออก collection ใน Metaverse

5. ที่ดิน บ้าน อาจจะลดความสำคัญลงในแง่ asset เพราะอยู่ที่ไหนก็ได้

6. สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม อุตสาหกรรมการบิน ตามมา จ่ายตังค์คืนละสองหมื่นนอนโรงแรมทำไม ในเมื่อความรู้สึกประสบการณ์ใน Metaverse ถูกกว่า ดีกว่า

7. AI มีความสามารถเหนือคน พวก customer service, sales ไปหมด

8. อะไรที่ใช้ creativity ในแนวศิลปะ น่าจะพอไหว อย่างการออกแบบ graphics เสื้อผ้าหน้าผม อุปกรณ์ใน Metaverse พวก brand จะไปขายใน Metaverse แทน

9. Hacker ก็ยังคงป่วนระบบได้ตลอด อาชีพนี้น่าจะอยู่ได้อีกนาน

10. น้ำมัน ใครจะต้องการน้ำมันอีก?

11. Rare Earth Material อันนี้จะสำคัญเพราะใช้ผลิตอุปกรณ์ทั้งหลาย ซึ่งพี่จีนก็ไปกว้านซื้อที่ดินและสร้างอิทธิพลในหลายทวีปเรียบร้อยแล้ว

12. สุดท้ายอาจจะต้องไป mine material กันนอกโลก

13. สันดานมนุษย์ยังเหมือนเดิม คือมีความเหลื่อมล้ำ เช่นบางคนอาจจะมีตัวช่วย หรือ โมดูล AI ช่วยคำนวณที่เหนือกว่า ทำให้เก่งกว่า ฉลาดกว่า

14. UBI อาจจะมา แต่มาพร้อมกับ Work Assignment คือมีงานให้ทำ เพื่อที่จะเป็นรูปแบบของการควบคุมมนุษย์ ไม่งั้นปล่อยให้เวลาว่างเยอะ เดี๋ยวมีปัญหา unrest

แล้วเราจะเตรียมตัวอย่างไรดี?

จริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดเอาไว้เลย จนพอมีข่าวเรื่อง Metaverse เลยงัดคำทำนายของ Kurzweil มานั่งดู  มันใกล้เหมือนกันนะ ด้วยที่มีลูกอายุยังน้อย เลยคิดว่าต้องคิดๆ เผื่อไว้เหมือนกันละ เพราะ 10 ปีนี้เตรียมตัวทัน ผมจะเริ่มที่ Guiding Principle ก่อนดังนี้

1. คำทำนายเหล่านั้น พูดถึง Tech capability ไม่ใช่ Tech Adoption ต้องเข้าใจข้อแตกต่างตรงนี้ก่อน เทคโนโลยีทำได้ ไม่ได้หมายความว่าจะแพร่หลาย เพราะ มันมีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น ถ้าคนเรา upload ตัวเองได้ คิดหรือว่าคนทั่วไปจะได้ใช้ก่อน สันดานมนุษย์ที่ต้องการสร้าง status เหนือคนอื่นมีมาให้เห็นในประวัติศาสตร์ คนรวย หรือ คนที่มีอำนาจ จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ก่อน เสมอ ยังไม่นับเหตุการณ์อื่นๆนอกเหนือจากเทคโนโลยีด้าน AI เช่น Climate Change, ปัญหาระหว่างอเมริกากับจีน

2. สิ่งที่ทำนายเป็น Possibility พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เราอาจจะเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น อันนี้เรียกว่า “Weak Signals” จึงเริ่มระวังตัวได้ เมื่อถึงจุดที่เป็น “Inflection Points” เมื่อไหร่ เราถึงจะเคลื่อนตัวเดินแผน 2 ยกตัวอย่างง่ายๆ Netflix เริ่มขยายตัวได้เร็ว เมื่อราคาเครื่องเล่น DVD ตกมาเหลือเครื่องละ 300-400 เหรียญ อันนั้นคือจุด Inflection Point

5. เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ดังนั้นแนวคิดอย่างหนึ่งคือ ไม่โฟกัสสิ่งที่จะเปลี่ยน แต่มาดูดีกว่า ว่าอะไรที่มันไม่เปลี่ยนแน่ๆ

การเตรียมตัว 

1. ในะระยะสั้น ก็ยังเป็น Business as usual อย่างที่ดินก็คงยังราคาขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจ (และคน) ก็ควรที่จะ accumulate wealth เป็นกระสุนสำรองไว้ มีการทำ Scenario Planning และกำหนด policy ไว้ว่าถ้าถึงจุดที่เป็น Inflection point จะต้องเริ่มผ่องถ่าย กิจกรรมหรือ diversify asset ไปลงส่วนที่เป็นอนาคตมากขึ้น ที่ยากที่สุดของธุรกิจคือ การปรับ mindset คน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จแล้วจะติดกับดักตัวเอง คิดว่าเก่ง มองเห็นมองขาด ส่วนใหญ่จะไม่รอด เพราะที่ผ่านมาเคยประสบความสำเร็จตลอด ยกตัวอย่าง CEO Blackberry นี่เก่งมากเลยนะ แต่ดื้อสุดท้ายแล้วก็อย่างที่เห็น … 

ถ้าให้พูดสั้นๆ คือ การทำ BCP (แบบมอง Inflection Points) + Mindset Transformation ซึ่งไม่เหมือนกับ Digital Transformation หรือ การสร้าง Culture

ที่ผ่านมาแทบไม่ค่อยเจอ CEO ที่ nimble, flexible เลย ego through the roof ทั้งนั้น ในไทยมีเจ้าสัว CP ที่แกชอบเรียนรู้จากคนสมัยใหม่ๆ อยู่ตลอด (คุณศุภชัยผมว่ามี DNA ในตรงนี้อยู่บ้าง) จึงจะเห็นว่า CP เล็งเห็นความสำคัญในการสร้างคน เปิด Academy แต่ Vision อย่างหนึ่ง Execution ก็อีกอย่าง เพราะคนรุ่นเก่าผมว่า fixed mindset ไปแล้ว เปลี่ยนขวดเหล้า แต่เหล้ายังเหมือนเดิม น่าจะลำบากอยู่เหมือนกัน บริษัทใหญ่อื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง

2. สำหรับประเทศไทยเองคน Gen X, Y อย่างผมอาจจะไม่ต้องห่วงมาก ส่วนตัวไม่ได้อยากอยู่ค้ำฟ้าอยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจแล้วว่าคนอื่นเขาจะทำอย่างไร อย่างน้อย ๆ คือ มีที่ดินต่างจังหวัดที่ไม่น้ำท่วม อากาศดี ปลูกผัก เลี้ยงอะไรไป ก็น่าจะพอไหวอยู่ นี่ก็เห็นเพื่อนหลายคนซื้อที่ต่างจังหวัดกันเยอะแยะ

3. สำหรับ Gen อื่น หรือถ้าplanสำหรับลูกตัวเอง ภาพใหญ่คงมองว่า ‘จะ position ลูกตัวเอง’ ให้พร้อมที่จะกระโดดขี่คลื่น เมื่อเวลานั้นมาถึงอย่างไร เริ่มจาก คงเน้นให้เรียนในสิ่งที่ชอบ แต่ไม่เน้นพวกท่องจำ (จะท่องทำไม ถาม AI ก็ได้) แต่ต้องมี foundation skills ที่ทำได้หลากหลาย (คร่าวๆ น่าจะประมาณนี้ ส่วนละเอียดก็สูตรใครสูตรมัน ตาม resource ที่แต่ละคนมี)

  • Critical & Analytical Thinking: มองโลกเป็น อ่านเกมส์ออก เห็น inflection point
  • Creativity: ในระยะแรก ต่อให้ AI คิดเก่งกว่าคนแต่ Creativity โดยเฉพาะในแง่ศิลปะเป็นเรื่อง subjective ดังนั้นน่าจะยังไปได้อยู่
  • Coding/Art: พวก Programming หรือการสร้าง 3D Model ควรจะทำเป็นบ้าง
  • Communication: การอยู่รวมกับคน
  • Selling: ขายของเป็น
  • Financial Planning: ใช้เงินเป็น วางแผนการเงินได้ ปิดโอกาสจนทิ้งซะ (ไม่ได้หมายความว่าจะรวยนะ แต่อย่างน้อยต้องไม่จน)

ส่วนตัวผมเองก็ต้องเร่งสร้าง Network ไว้เมื่อพอเห็นโอกาส จะได้มี ‘จำนวนประตู’ ที่จะเปิดให้ลูกได้ลองมากพอเหมือนกัน ใครอยากมาสร้าง Network Alliance ร่วมกันก็มาคุยกันได้ครับ

References