นอกจากการทำประมงปลากะตักแบบพื้นบ้าน
ปัจจุบันได้มีการทำประมงปลากะตักโดยใช้เรือปั่นไฟด้วย
ซึ่งมีวิธีการดังนี้
การทำประมงปลากะตักโดยใช้เรือปั่นไฟ กลุ่มผู้พัฒนาได้ติดตามเรือประมงปลากะตักเพื่อศึกษากระบวนการทำประมงปลากะตัก
ในวันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2546 เวลา 17.00 น. เรือประมงปลากะตัก
ประกอบด้วยหัวหน้าผู้ควบคุมเรือซึ่งลูกเรือจะเรียกว่า "ไต๋" 1
คน , ลูกเรืออีก 3 คน และตัวผู้พัฒนาผลงานเองอีก 1 คน รวมทั้งสิ้น
5 คน ได้เดินทางออกทะเลเพื่อหาปลากะตัก ซึ่งก่อนจะออกจากปากอ่าวแม่น้ำสายบุรี
เรือได้มีการแวะรับน้ำแข็งเพื่อใช้แช่ปลากะตักที่โรงน้ำแข็ง หลังจากนั้นเรือจะมุ่งหน้าสู่ทะเล
ผ่านชายหาดวาสุกรี ระหว่างทางไต๋จะเปิดเครื่องซาวน์เดอร์ (sounder)
ซึ่งเป็นอุปกรณ์หาปลา โดยอาศัยหลักการสะท้อนของคลื่น โดยจะส่งคลื่นไปในทะเลรอบๆ
ตัวเรือ และตรวจจับคลื่นที่สะท้อนกลับมา โดยเครื่องซาวน์เดอร์จะมีลักษณะคล้ายกับโทรทัศน์ขนาดเล็ก
ภายในจอจะบอกระดับความลึกของทะเลซึ่งแสดงออกมาเป็นภาพผิวน้ำและก้นทะเลโดยมีสเกลให้เปรียบเทียบ
ไต๋จะทำการขับเรือไปเรื่อยๆ เพื่อหาฝูงปลากะตักจากจอของเครื่องซาวน์เดอร์
ระหว่างนี้ลูกเรือจะช่วยกันกางแขนอวนยื่นออกไปในทะเล ซึ่งการกางแขนอวนออกจะทำให้เรือเอียงเนื่องจากน้ำหนักของแขนอวนจะหนักมาก
ดังนั้นลูกเรือจะต้องทำการสูบน้ำทะเลขึ้นมาใส่ถังพลาสติกซึ่งวางอยู่อีกด้านของเรือเพื่อถ่วงน้ำหนักให้เรือสมดุล
หลังจากนั้นลูกเรือก็จะคอยให้เจอปลากะตัก ขณะที่เรือยังคงแล่นหาปลากะตัก
จนกระทั่งเวลา 22.00 น. โดยประมาณก็เจอฝูงปลากะตัก ซึ่งบนหน้าจอเครื่องซาวน์เดอร์บอกความลึกของทะเล
24 เมตร เมื่อเจอปลากะตักแล้ว ไต๋จะขับเรือวนรอบๆ บริเวณนั้น เพื่อดูปริมาณของปลากะตักอย่างคร่าวๆ
เมื่อมั่นใจว่าจะทำการจับปลากะตักจึงทำการทิ้งสมอเรือ ไต๋จะทำการเปิดไฟทุกดวงซึ่งจะมีประมาณ
18 ดวง โดยหลอดไฟจะอยู่รอบๆ ตัวเรือ จำนวนหลอดไฟจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับกำลังของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรือ
ยิ่งจำนวนหลอดไฟมากก็จะล่อปลากะตักได้ดีขึ้น เพราะจะต้องแข่งกับแสงของหลอดไฟจากเรือลำอื่น
เมื่อปั่นไฟได้ประมาณ 30 นาที ไต๋จะปิดหลอดไฟทุกดวง เหลือไว้แค่สปอร์ตไลท์ซึ่งเป็นหลอดไฟที่สว่างที่สุด
อยู่ระหว่างแขนอวน ไต๋จะทำการหรี่ไฟให้ความสว่างน้อยลง แล้วเร่งไฟให้สว่างมากขึ้นทันที
และหรี่ไฟอีก ทำอย่างนี้สลับกับประมาณ 4-5 ครั้ง ระหว่างนี้ก็จะดูปริมาณปลากะตักที่มาเล่นไฟจากจอของเครื่องซาวน์เดอร์ไปด้วย
เมื่อปริมาณปลากะตักมาเล่นไฟมากเพียงพอแล้ว ไต๋จะส่งสัญญาณให้ลูกเรือทำการทิ้งอวน
ซึ่งมีลักษณะเป็นตาข่ายสีเขียวทรงสี่เหลี่ยมแต่ปลายจะเปิดทั้งสองข้าง
โดยด้านบนจะมีทุ่นพลาสติกสีขาวถูกร้อยด้วยเชือก ส่วนด้านล่างจะมีลูกตะกั่วประมาณ
400 ลูก ลูกละ 1 กิโลกรัมถูกร้อยด้วยเชือกเช่นกัน เมื่อลูกเรือทิ้งอวนพร้อมกันตามสัญญาณของไต๋
ทุ่นจะลอยอยู่เหนือผิวน้ำ และลูกตะกั่วจะจมไปยังก้นทะเล โดยปลากะตักจะถูกขังอยู่ในอวน
เมื่อทิ้งอวนแล้วไต๋จะเปิดไฟทุกดวง และปิดสปอร์ตไลท์ และให้เครื่องยนต์ดึงเชือกที่ร้อยลูกตะกั่วเพื่อรวบอวนส่วนล่างเป็นกระจุก
และดึงขึ้นมาจากทะเลโดยตัวอวนและทุ่นพลาสติกยังคงอยู่ในทะเล หลังจากนั้นลูกเรือจะช่วยกันดึงตัวอวนขึ้นมาทีละนิดโดยดึงส่วนของอวนด้านที่ใกล้กับลูกตะกั่วทีละนิด
จนกระทั่งตัวอวนถูกสาวขึ้นมาเกือบหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ปลากะตักจะถูกอวนต้อนให้มารวมกัน ลูกเรือก็จะใช้ตะกร้าพลาสติกตักปลากะตักขึ้นมาจากทะเล
แล้วนำปลากะตักที่ได้ไปแช่น้ำแข็งที่เตรียมไว้ทันที
หลังจากนั้นลูกเรือจะสาวอวนทั้งหมดขึ้นมาจากทะเลและคอยให้ปลากะตักมาเล่นไฟอีก
และก็จะทำตามขั้นตอนเดิมอีก โดยจะทำแบบนี้จนกระทั่งปริมาณปลากะตักในจอของเครื่องซาวน์เดอร์น้อยลงจนไม่คุ้มเหนื่อยถ้าจะลงอวนอีก
ซึ่งในวันที่ไปศึกษานั้นมีการลงอวนถึง 5 ครั้ง ซึ่งได้ปลากะตักประมาณ
500 กิโลกรัม หากยังมีเวลาอีกหรือปลากะตักที่ได้ยังไม่เพียงพอ ไต๋ก็จะขับเรือเพื่อหาปลากะตักฝูงต่อไป
เมื่อได้ปลากะตักเป็นที่พอใจแล้ว หรือใกล้สว่างเรือประมงจึงเดินทางกลับเข้าสู่ฝั่ง
ซึ่งจะมีผู้มารับซื้อปลากระตักที่ท่าเรือต่อไป โดยราคาที่ซื้อประมาณ
8-10 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับความสดและจำนวนปลาชนิดอื่นที่ปะปนมาด้วย
การจับปลากะตักแบบพื้นบ้าน ปลากะตัก
หลักการทำงานของเครื่องซาวน์เดอร์ แสงมีผลต่อพฤติกรรมของปลาอย่างไร
?