การ์ทเนอร์แนะ "ย่อส่วน" ซอฟต์แวร์ เจาะองค์กรยุคใหม่
นักวิจัยแนะผู้ผลิตซอฟต์แวร์องค์กร
แบ่งจำหน่ายสินค้าเป็นแพ็คเกจขนาดเล็ก หลังพบผู้ประกอบการยุคใหม่
เน้นใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน พร้อมนิยมอัพเดทโปรแกรมแยกส่วน
ขณะการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม บีบวงจรชีวิตธุรกิจหดสั้น
เชื่ออุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แบ่งค่ายสร้าง "ระบบนิเวศน์"
ข้อสรุปของนักวิจัยบริษัทการ์ทเนอร์หลายราย
ที่เข้าร่วมในงานประชุมไอที เอ็กซ์โป ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง คานส์
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า อุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันไม่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ทางการตลาด
และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ กลับกลายเป็น "ซอฟต์แวร์"
ที่ใช้รันองค์กรอยู่นี่เอง ด้วยเหตุที่ซอฟต์แวร์สมัยนี้เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น
เพื่อให้สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายได้ จึงทำให้บริษัทต่างๆ ปรับเปลี่ยนโปรแกรมเหล่านี้ได้ยากขึ้นตามไปด้วย
และทำให้ผู้ประกอบการหลายเจ้า กลับต้องจมอยู่กับซอฟต์แวร์ที่ตนไม่ได้ต้องการจะใช้อีกต่อไป
ชี้วงจรธุรกิจหดสั้น
"บริษัทต่างๆ
ได้พยายามปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยการนำเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ
มาใช้ แต่กลายเป็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ระบบไอทีมีวงจรชีวิตที่ยาวนานขึ้น ขณะที่วงจรทางธุรกิจกลับหดสั้นลงเรื่อยๆ"
นายปีเตอร์ ซอนเดอร์การ์ด หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของการ์ทเนอร์
กล่าว ทางการ์ทเนอร์จึงคิดว่า ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับการจัดการระบบในบริษัทขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์สำหรับการจ่ายเงิน, การจัดเก็บสินค้าคงคลัง
ไปจนถึงซอฟต์แวร์ระบบความสัมพันธ์ลูกค้า อย่างเช่น เอสเอพี, ไอบีเอ็ม,
ออราเคิล และไมโครซอฟท์
ควรจะต้องจัดแบ่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่มหึมาของตน ให้เป็นแพ็คเกจที่มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ลูกค้าสามารถอัพเกรดหรือปรับเปลี่ยนได้เร็วขึ้น
"คำถามก็คือ ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ลูกค้าต้องการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีขนาดเล็กลง
และในขณะเดียวกัน ก็ต้องชักจูงให้ลูกค้ามีการใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นได้หรือไม่"
นายซอนเดอร์การ์ด กล่าว
เน้นซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน
และปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ผลิตเหล่านี้ยังต้องพัฒนาให้ชิ้นส่วนซอฟต์แวร์ของตนสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งได้
เนื่องจากองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ มักจะเฉพาะเจาะจงเลือกใช้โปรแกรมพิเศษบางตัวจากผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้นจริงๆ
แต่ก็ยังต้องการให้ซอฟต์แวร์ทั้งหมดสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
"เงื่อนไขเช่นนี้
ทำให้ซอฟต์แวร์ต้องมีความคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการธุรกิจ
หรือกำหนดว่าซอฟต์แวร์ตัวใดเหมาะสมกับขั้นตอนใดที่สุดได้ง่ายขึ้นมาก" นายอีวอนน์ จีโนวีส นักวิเคราะห์รายหนึ่งของการ์ทเนอร์ กล่าว ด้วยเหตุนี้เอง
ธุรกิจต่างๆ จึงเปลี่ยนจากการใช้โครงการไอทีขนาดใหญ่ ที่มีระยะเวลาการทำงานแบบมาราธอน
เป็นแอพพลิเคชั่นย่อยๆ ที่สามารถใช้งานได้รวดเร็ว หรือการปรับเปลี่ยนระบบที่มีอยู่แล้วแทน
ทางการ์ทเนอร์ยังเห็นว่า แทนที่อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จะพยายามสร้างโปรแกรมที่ทำงานกับผลิตภัณฑ์ต่างค่ายได้
แต่ผู้ผลิตเหล่านี้กลับกำลังพยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า "ระบบนิเวศน์" ขึ้น
ระบบนิเวศน์ซอฟต์แวร์
ระบบที่ว่าก็คือ
อาณาจักรที่มีผู้ผลิตยักษ์ใหญ่เป็นผู้กำหนดสภาพแวดล้อม หรือสร้างมาตรฐานกลางที่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายอื่นจะต้องปฏิบัติตาม
โดยทุกวันนี้ บริษัทแต่ละแห่งก็จะต้องพยายามเข้าเป็นสมาชิกของระบบนิเวศน์แห่งใดแห่งหนึ่ง
เพื่อให้ตนอยู่รอดได้ ถ้าหากตนไม่ใหญ่พอที่จะเป็นผู้กำหนดระบบนิเวศน์เสียเอง
ตัวอย่างเช่น กรณีของผู้ผลิตซอฟต์แวร์สหรัฐ "พีเพิลซอฟท์"
ซึ่งถูกยักษ์ใหญ่ออราเคิล เปิดศึกควบกิจการเป็นมูลค่า 8,800 ล้านดอลลาร์อยู่ "พีเพิลซอฟท์
จะไม่ได้เป็นผู้ผลิตอิสระ และจะต้องตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมกับระบบนิเวศน์แห่งไหน"
นายซอนเดอร์การ์ด กล่าว "เมื่อออราเคิลซื้อพีเพิลซอฟท์ได้สำเร็จ
นั่นก็คือ การตัดสินใจได้เสร็จสิ้นแล้ว"
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 4 พฤศจิกายน 2547
|