ก้านตากว้าง
|
เราสามารถพบปูก้ามดาบที่มีก้านตากว้างได้
3สปีชีย์ คือ |
ลักษณะก้ามของปูก้ามดาบที่มีร่องตากว้างสามารถแยกปูก้ามดาบได้ดังนี้
|
1.
Uca bengali |
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex และ dactyl มีลักษณะแหลม นอกจากนั้นยังสังเกตจากก้ามข้างเล็กของปล้องที่2
จะเห็นตุ่มเรียงกัน |
2.
Uca lactea annulipes |
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex จะมีหยักสองหยักและส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
|
3. Uca perplexa
|
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex จะมีหบักสองหยักและส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ซึ่งลักษณะก้ามจะคล้ายกับUca lactea annulipes มากแต่จะมีขนาดใหญ่กว่า |
|
ก้านตาแคบ |
เราสามารถพบปูก้ามดาบที่มีก้านตาแคบได้
9 สปีชีย์ คือ |
ลักษณะก้ามของปูก้ามดาบที่มีร่องตาแคบสามารถแยกปูก้ามดาบได้ดังนี้
|
|
|
1.ร่องที่อยู่บนก้ามด้านบน
*ไม่มีร่องบนก้าม
|
|
1.
Uca tetragonon |
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex
และส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะกลมๆไม่แบน |
2.
Uca (vocan)hesperiae |
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex จะมีหยักสองหยักและส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะแบน คล้ายกับ Uca (vocan)
vocans |
3.
Uca (vocan) vocans |
ก้ามไม่มีร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex จะมีหยักสองหยักและส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะแบน คล้ายกับ Uca (vocan)hesperiae |
|
*มีร่องบนก้าม1
ร่อง |
4.
Uca urvilei |
ก้ามมีร่องก้าม
1 ร่อง ปลายทั้งสองของก้าม คือส่วน pollex
และส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะกลมๆไม่แบน |
|
5.
Uca forcipata |
ก้ามมีร่อง
1 ร่องก้ามปลายทั้งสองของก้าม
คือส่วน pollex และส่วนของ dactyl จะมีหยักมาก |
|
|
*มีร่องบนก้าม
2 ร่อง |
6.
Uca paradussumieri (Uca spinata) |
ก้ามมีร่องก้าม
2 ร่อง ปลายทั้งสองของก้าม คือส่วน pollex
และส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะกลมๆไม่แบน |
|
7.
Uca dussumieri |
ก้ามมีร่องก้าม
2 ร่อง ปลายทั้งสองของก้าม คือส่วน pollex
และส่วนของ dactyl มีลักษณะปลายแหลม
ก้ามมีลักษณะกลมๆไม่แบน |
|
8.
Uca rosea |
ก้ามมีร่องก้าม
2 ร่อง ปลายทั้งสองของก้าม คือส่วน pollex
และส่วนของ dactyl จะมีหยักมาก |
|
|
|
|
|
|