1.
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
(SO2) |
|
ผลเฉียบพลัน
เกิดอาการระคายเคืองของท่อทางเดินหายใจทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว
และขับ
ของเหลวออกมาสะสมในเอเยื่อ
ก่อให้เกิดอาการบวมน้ำในเนื้อเยื่อ
ทำให้ท่อลมหดตัวอย่างรุนแรง
หายใจขัด
เกิดอาการหอบหืด
คล้ายโรคภูมิแพ้
ซึ่งทำให้ทางเดินอากาศสู่ปอดตีบแคบขึ้น
หายใจ
ไม่สะดวก อากาศระบายออกจากปอดได้ไม่สมบูรณ์
เกิดการสะสมของเชื้อโรคในปอด
และเกิดการ
ติดเชื้อได้ง่าย |
|
2.
อนุภาคฝุ่นละออง
ผลต่อสุขภาพมากหรือน้อย
ขึ้นกับชนิดและขนาดของอนุภาคของสารมลพิษ โดยทั่วไป
ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อท่อทางเดินหายใจ
มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หรือ ระบบต่างๆ ในร่างกาย |
 |
3.
ไนโตรเจนไดออกไซด์
(NO2)
มีผลทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของระบบหายใจแตก และเกิดอาการบวมน้ำ
(edema)
สภาพ
ความเป็นกรดของสารจากการที่เยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลาย
ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อปอด
ทำให้ทำงานได้น้อยลง
หัวใจข้างขวาซึ่งมีหน้าที่รับและสูบฉีดเลือดเสียไปปอด
ต้องทำงานมากขึ้น
|
|
4.
คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO)
ผลเฉียบพลันทำให้ขาดออกซิเจน
(asphyxiation)
เนื่องจาก
CO
จะแย่งที่ของ
O2
จะไปจับกับฮีโมโกลบินในเลือดแทน
ทำให้หัวใจและสมองถูกทำลายเพราะขาด
O2
มีผลให้การ
มองเห็นเสื่อมลง อีกทั้งยังมีผลระยะยาวคือ
มีเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด เนื่องจาก
ร่างกายจำต้องปรับตัวเพื่อให้ได้รับ
O2
ที่เพียงพอ เป็นสาเหตุให้เลือดข้น ไหลเวียนยาก
ก่อให้
เกิดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อและประสาทอ่อนล้า
ปวดศีรษะ
|
|
5.
ไฟโตเคมิคัลออกซิแดนท์
ส่งผลให้ปอดทำงานน้อยลง
และทำให้หัวใจด้านขวาซึ่งทำหน้าที่รับเลือดเสียและส่งไป
ฟอกยังปอด ต้องทำงานมากขึ้น และยังมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคถุงลมโป่งพอง
(emphysema)
มีการสะสมเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในปอด
การล้มเหลวของหัวใจข้างขวา ทำให้เนื้อเยื่อของระบบหายใจ
และปอดหมดสภาพการทำงานเร็วขึ้น
|
|
6.
ละอองตะกั่ว
ทำให้คอแห้งปวดแสบปวดร้อนในท้อง
คลื่นไส้และอาเจียนอาจมีอาการท้องร่วง และมีอาการ
ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ เป็นตะคริวโดยเฉพาะที่ขา
ถ้าเด็กได้รับสารพิษนี้เข้าร่างกาย จะทำให้โลหิตจาง
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องผูก และทำลายระบบประสาท
มีอาการร่วมคือ หงุดหงิด นอนไม่หลับ
สติปัญญาเสื่อมลง
มีผลต่อการควบคุมของระบบประสาทต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาก
เช่น มือและเท้า |
|