อุกกาบาต
ย้อนอดีตไปเมื่อ 24 ปีก่อนขณะที่ Walter Alvarez นักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ Berkeley ในประเทศสหรัฐอเมริกากำลังศึกษาหิน และดินในบริเวณภูเขานอกเมือง Gubbio ในประเทศอิตาลี เขาได้พบว่าในชั้นหิน ต่างๆ ที่เขาเห็นนั้นมีชั้นหินแถบหนึ่ง ที่มีแร่ iridium มากผิดปกติ
การสังเกตเห็นของ Alvarez ในครั้งนั้นได้พลิกโฉมความเข้าใจของ มนุษย์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตบน โลก และมหันตภัยจากนอกโลกอย่างมากมาย เพราะ Alvarez และบิดาที่ชื่อ Luis Alvarez ซึ่ง เป็นผู้ที่เคยพิชิต รางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ได้เสนอความเห็นว่า ชั้นหินที่มีแร่ iridium มากมายนั้น คือหลักฐาน ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว ได้มีอุกกาบาต หรือดาวหางขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ตกลงมาชนโลก พลังระเบิดครั้งนั้น มีความรุนแรง เทียบเท่ากับการระเบิดของลูกระเบิดปรมาณู หนึ่งแสนลูกพร้อมกัน นักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง ได้ให้เหตุผลในการเชื่อว่า เพราะแร่ iridium ที่ปรากฏอยู่อย่างหนาแน่นมากนั้น มักจะไม่พบในโลก แต่จะมีมากในอุกกาบาต และเมื่ออุกกาบาตลูกนั้นพุ่งชนโลก ฝุ่นละอองธุลีหินและดินต่างๆ ได้พุ่งกระจัดกระจายสู่ท้องฟ้า เมฆฝุ่นได้บดบังแสงอาทิตย์ มิให้ส่งกระทบโลกนานเป็นปี ส่วนแผ่นดิน เมื่ออุกกาบาตชน ได้ลุกไหม้ทำให้เกิดไฟป่าลุกท่วมโลก นอกจากนี้ก๊าซไนโตรเจน ไอน้ำ และ คาร์บอนไดออกไซด์ ในอากาศ ได้รวมตัวกันเป็นฝนกรด ตกรดพืชและ สัตว์ ต่างๆ ทำให้สัตว์และพืช หลายชนิดล้มตาย ตัวไดโนเสาร์ เมื่อ ขาดอาหารจึงได้ล้มตายมากมายจนสูญพันธ์ ในที่สุด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อ่อนแอกว่า จึงมีโอกาสวิวัฒนาการตนขึ้นจนเป็น เจ้าโลกในที่สุด
คำทำนายของ Alvarez พ่อ-ลูกคู่นี้ ได้รับการยืนยันว่าเป็นจริง ในปี พ.ศ. 2534 เมื่อ Glen Penfield และ Antonio Camargo ได้เห็นร่องรอยการตกของอุกกาบาต มัจจุราชลูกนั้นว่า มันได้พุ่งตกในบริเวณแหลม Yucatan ของประเทศ เม็กซิโก เพราะเขาได้เห็นชั้นหินใต้ดินที่ระดับลึกลงไป 1 ไมล์ว่า มีลักษณะ เป็นวงแหวนขนาดใหญ่ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างถึง 180 กิโลเมตร การมีเหตุผล และหลักฐานเช่นนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ตระหนักว่าสมมติฐานอุกกาบาตชนโลก เป็นความรู้ที่สำคัญ และยิ่งใหญ่กว่าความรู้ที่ว่าทวีป ต่างๆ ของโลกสามารถเคลื่อนที่ได้เสียอีก เพราะสามารถอธิบาย ทั้งการระเบิดของภูเขาไฟ อธิบายการเปลี่ยนทิศของสนามแม่เหล็กโลก และอธิบายการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบ ภายในโลกได้
สุริยจักรวาลของเรามีดาวเคราะห์เป็นบริวาร 9 ดวง และมีดาวเคราะห์น้อย (asteroid) หลายหมื่นดวง ดวงดาวเล็กๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่โคจรอยู่ระหว่างดาวอังคาร กับดาวพฤหัสบดี ในบางครั้งดาวเคราะห์น้อยชนกัน สะเก็ดดาวที่แตกกระจัด กระจาย มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก และมีวิถีโคจรรอบดวงอาทิตย์แตกต่างกัน ในบางโอกาสสะเก็ดดาวอาจจะมีวิถีโคจรผ่านโลก ในระยะใกล้
สะเก็ดดาวใดที่มีขนาดเล็ก ตามปกติจะมีความเร็วสูง ดังนั้นขณะที่พุ่งผ่านบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก มันจะถูกอากาศเสียดสี จนลุกไหม้หมด แต่สะเก็ดดาวใด ที่มีขนาดใหญ่ จะมีซากอุกกาบาตหลงเหลืออยู่ ซึ่งจะพุ่งชนโลก ในที่สุดร่องรอยการชน จะปรากฎเป็นหลุม เป็นแอ่ง โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางของหลุม หรือแอ่งใหญ่ประมาณ 20 เท่าของขนาดอุกกาบาตจริง
หากเราใช้กล้องโทรทัศน์ส่องดูผิวของดาวศุกร์ และดาวอังคาร เราก็จะเห็นว่า ผิวของดวงดาวทั้งสองนี้ เป็นหลุมเป็นแอ่งตะปุ่ม ตะป่ำมากมาย หลุมอุกกาบาตเหล่านี้ คือ หลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดว่า ปรากฎการณ์อุกกาบาตพุ่งชนดาวเกิดได้ และ เกิดจริง นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าในช่วงเวลา 600 ล้านปีที่ผ่านมานี้ โลกถูกอุกกาบาตพุ่งชนอย่างน้อย 2,000 ครั้ง แต่ การเปลี่ยนแปลงของผิวโลก และการแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ ได้ทำให้หลุมอุกกาบาตปรากฎอยู่เพียง 139 หลุมเท่านั้นเอง
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกกว่าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ได้มีอุกกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 44 เมตร ลูกหนึ่ง พุ่งเหนือแม่น้ำ Tunguska ในไซบีเรียที่ระดับความสูง 8 กิโลเมตร การเสียดสีกับบรรยากาศทำให้อุกกาบาตระเบิด พลัง ระเบิดขนาด 15 เมกะตันได้ทำลายป่าเนื้อหา 1,000 ตารางกิโลเมตรราบพนาสูร ภาพถ่ายพื้นที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นว่าหาก อุกกาบาตลูกนั้นตกช้าอีกเพียง 5 นาที นคร Helsinki ของ Finland จะถูกลบหายไปจากแผนที่ในบัดดล และหากตกช้า อีก 7 นาที มันจะตกในทะเลพลังระเบิด จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ (tsunami) สูง 100 เมตร พุ่งเข้าถล่มหัวเมืองชายฝั่งของ ประเทศยุโรปหมด
ในเมื่อภัยอุกกาบาตมีจริง เราจะมีวิธีป้องกันภัยชนิดนี้ได้อย่างไร หรือไม่ อุกกาบาตภัยนี้แตกต่างจากภัยอื่นๆในประเด็นที่ว่าสำหรับ ภัยอื่นๆ เช่น วาตภัย อัคคีภัย ปรมาณูภัยหรืออุทกภัย เรามีความรู้และประสบการณ์ที่ขมขื่นกับภัยเหล่านี้มาก ยกตัวอย่าง เช่น เรารู้ว่า ในแต่ละปีคนอเมริกันเสียชีวิต เนื่องจากการจราจร 50,000 คน และเป็นมะเร็ง ตายปีละ 500,000 คน แต่เราไม่มี ข้อมูลผู้คนตายเพราะถูกอุกกาบาตชนเลย ดังนั้นหากสถิติปรากฎว่า จะมีคนตายเพราะถูกอุกกาบาตชนปีละ 2,000 คน นั่นหมายความว่าในปีที่หนึ่ง อาจจะไม่มีใครตาย เพราะสาเหตุนี้ แต่พอถึงปี 9,999 ผู้คน 20 ล้านคนอาจจะล้มตาย เพราะถูกอุกกาบาตชนก็ได้
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการประชุม ของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และนักดาราศาสตร์ที่ Lawrence Livermore National Laboratory ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อหาวิธีป้องกัน และตรวจเตือนอุกกาบาตภัย ที่ประชุมมีความเห็นว่า กรณีของอุกกาบาตขนาดเล็ก การใช้จรวดติดปืน ที่สามารถยิงกระสุนความเร็วสูง สามารถทำให้อุกกาบาตก้อนเล็กๆ แตกกระจุยกระจายได้ แต่สำหรับอุกกาบาตก้อนใหญ่นั้น ที่ประชุมได้เสนอให้ติดตั้งระเบิด ปรมาณูบนอุกกาบาตก้อนเล็กแล้วบังคับให้ปรมาณู ระเบิด พลังระเบิดจะเบี่ยงวิถีโคจรของอุกกาบาตเล็ก ให้พุ่งชนอุกกาบาตใหญ่พุ่งผ่านโลกเลยไป ขณะนี้นักดาราศาสตร์ยังไม่ เห็นอุกกาบาตใดมีแนวโน้มจะพุ่งชนโลก แต่หากมีและนักดาราศาสตร์เลินเล่อ นั่นก็หมายความว่าอุกกาบาตมหาประลัยลูกนั้น จะทำให้ 2 ใน 3 ของ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกสูญพันธุ์ ผู้คน 5,000 ล้านคนจะล้มตาย (อีก 1,600 ล้านคน จะเหลือ) และถึงแม้มนุษย์สัตว์ และพืช จะตายไปพร้อมๆ กันก็ตาม แต่มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวเท่านั้น ที่รู้เกี่ยวกับ ภัยนี้ และสามารถป้องกันภัยนี้ได้

ที่มา : ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)