ประวัติรถไฟฟ้า

ประวัติรถไฟฟ้า

ก็คงจะมาเริ่มต้นกันที่รถไฟฟ้าคันแรกของโลกกันก่อน
นะครับ ชื่อรถนั้นไม่ปรากฏแต่ว่าผู้ให้กำเนิดนั้นก็คือ
นาย Thomas Davenport  ชาวอเมริกัน เมื่อร้อยหก
สิบกว่าปีมาแล้ว คือเมื่อปี คศ. 1834 ยาวนานทีเดียวใช่
ไหมครับ    แต่เมื่อเปรียบกับยานพาหนะเก่าแก่ที่สุด
ก็เห็นจะสู้ไม่ได้นะครับ  เพราะเจ้าพาหนะที่ใช้เครื่อง
จักรไอน้ำนั้นเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อปีคศ.1769ส่วนของ
ประวัติรถไฟฟ้านี้จะเป็นอย่างไร   ก็ต้องมาท้าวความ
ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นผู้คนถึงได้ขวนขวายหามาซึ่ง
ยานพาหนะกันนักหนา
chelsea.jpg (20714 bytes)
1922 CHELSEAELECTRIC COUPE
โดยจะข้ามไปที่ปลายศตวรรตที่ 19 เลยนะครับ เรื่องนี้เกิดที่อเมริกาครับ   ตอนนั้นมีชุมชนเมืองขึ้นบ้างแล้ว มีรถจักรไอน้ำ
ใช้กันอยู่แต่ส่วนใหญ่ชาวตะวันตกสมัยนั้นนิยมใช้ม้าเป็นพาหนะครับ     ก็แบบที่เราเห็นในภาพยนตร์ฝรั่งคาวบอยนั่นแหละ
ครับ เข้าเมืองแต่ละทีต้องหาที่จอดม้า(คอก) หาหญ้าให้ม้ากิน ประมาณรวมกันแล้วคนอเมริกันจะใช้ม้าเป็นพาหนะกันถึง
25 ล้านตัว เป็นผมคงว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ      แต่ชาวอเมริกันเริ่มเกิดอาการเบื่อที่จะต้องเจอกับกลิ่นของเสียของม้า และ
ควันดำของเชื้อเพลิงของรถจักรไอน้ำ จึงมีผู้ผลิตรถจักรยานออกมาตอบสนองโดยผลิตแทบจะไม่ทันเลยกับความต้องการ
ของคนอเมริกัน  ก็ราวๆ 1 ล้านคันเห็นจะได้พร้อมทั้งปรับปรุงทางและสร้างถนนให้เรียบให้เหมาะสมกับรถจักรยานไงครับ   
ตรงนี้ต้องให้เครดิตกับจักรยานกันหน่อยแล้วนะครับ      ก็เพราะการออกแบบ ระบบการถ่ายทอดกำลังของจักรยานนี้เป็น
ประตูไปสู่   การระบบการถ่ายทอดกำลังของยานพาหนะ     การใช้จักรยานำไปสู่การพัฒนาถนนหนทางให้เรียบเหมาะกับ
การเคลื่อนที่ของพาหนะและ        หลังจากนั้นไม่นานกำลังจากม้าและแรงถีบจักรยานของคนได้ถูก บทบังไปด้วยต้นกำลัง
แบบต่างๆ
construct.jpg (68867 bytes)         Riker.jpg (60025 bytes)
แสดงถึงโครงสร้างและระบบถ่ายทอดกำลังของ รถไฟฟ้า ของบริษัท Riker Electric Motor Company (US) ปี คศ. 1899
Queen.jpg (47688 bytes)
ในสมัยนั้นยานพานะที่มีต้นกำลังเป็นไฟฟ้าได้รับความนิยม
เร็วกว่าต้นกำลังอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถลากและรถรางไฟฟ้า
กันมากรวมไปถึงยานพาหนะส่วนตัวด้วย มีผู้ผลิตรถไฟฟ้า
รายใหม่เกิดขึ้นมากมาย   เพราะรถไฟฟ้าได้รับความนิยม
อย่างสูงโดยเฉพาะในแวดวงไฮโซ     ขณะที่มีการห้ำหั่นกัน
ในเชิงธุรกิจของผู้ผลิตรถไฟฟ้าอยู่นั้น   ที่ประเทศเยอรมันนี
นาย Karl Benz ได้สร้างรถสามล้อ     เครื่องยนต์เบนซินขึ้น
มาอย่างเงียบๆในปี คศ.1885     และเป็นคลื่นใต้น้ำที่กำลัง
จะออกเดินทางไปกระแทก ให้ รถไฟฟ้าที่กำลังได้รับความ
นิยมอยู่ให้หมดไป
hisocity.jpg (39265 bytes)
พระราชินีอเล็กซานเดรียกับกับรถไฟฟ้าของเธอ
เป็นที่นิยมในหมู่สังคมชั้นสูง (โปรดสังเกตุมีคนคอยเปิดประตู 2 คน)
ModelT.jpg (165349 bytes)
    FORD Model-T ผู้พิชิตรถไฟฟ้า
และวันนั้นก็มาถึงเมื่อ ปี คศ.1911นาย Charles F. Ketteing
ได้ดัดแปลงมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้สตาร์ทเครื่องยนต์แทนการใช้
มือหมุน     เป็นการเริ่มดับความฝันของผู้ผลิตรถไฟฟ้าหลาย
ราย ต่อจาก นาย Henry Ford ที่ผลิตรถยนต์ Model T’s เมื่อ
ปีคศ. 1909      หลังจากนั้นอีกไม่นาน      นาย Henry Ford
ได้ตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้า โดยการ
ผลิตรถ Model T’s โดยใช้เทคนิค  Mass Production ทำให้
ราคาลดลงจาก 850 เหรียญที่ตั้งไว้สามารถขายได้ในราคา
260 เหรียญ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง    คือช่วงปี
คศ.1925 โดยเจ้า Model T’s สามารถขายได้ถึง 15 ล้านคัน
เรียกได้ว่าแทบจะล้างบางรถไฟฟ้าไปเกือบจะไม่มีให้เห็นเลย
ทีเดียวครับ
Detroit.jpg (24059 bytes)
รถไฟฟ้าคันสุดท้ายที่ทำการต่อกรกับเจ้าโมลเดลที ดูกันให้ชัดๆ
ถึงความคลาสสิคที่ถ่ายทอดไปสู่ เจ้า   Model-T  ที่ก่อนที่
  จะพ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยับ
                                       
แม้เจ้าโมเดลทีจะออกมาวาดลวดลายและครองความเป็นจ้าว
แห่งยานยนต์ในตลาดรถอเมริกาจนทำให้รถไฟฟ้าแถบนั้น
หมดความนิยมอย่างถาวรแต่รถไฟฟ้าได้มาอุบัติขึ้นอีกครั้ง
ที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะ
ผลจากความพ่ายแพ้สงครามทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้กับการ
ที่ถูกจำกัดการใช้น้ำมัน โรงงานอุตสาหกรรมปิดตัวเองลง
อย่างมากมายส่งผลให้พลังงานไฟฟ้าที่เคยใช้ในอุตสาห
กรรมต้องเหลือใช้จึงคิดค้นที่จะนำพลังงานไฟฟ้าที่เหลือ
เฝือเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงทำการผลิตรถไฟฟ้า
ออกมา 3,300 คันในปี คศ.1949 และได้การผลิตอย่างต่อ
เนื่องปีละ 1,614 คันจนกระทั่งสถานการณ์น้ำมันคลี่คลายลง
จึงหยุดการผลิตลงราวๆปีคศ. 1954 ซึ่งถือได้ปิดการปิดฉากรถ
ไฟฟ้า ลงอย่างสมบูรณ์ เพราะยุคทองของรถยนต์เริ่มขึ้น
แล้วตั้งแต่บัดนี้
ยุคทองของรถยนต์ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไร้คู่แข่งแม้จะมี การตื่นตัวในเรื่องของมลภาวะทางอากาศของชาวโลกออกมา
เป็นระยะๆเริ่มต้นจากปี คศ.1960 มีความคิดที่จะลดมลภาวะโดยการปัดฝุ่นเทคโนโลยีของรถไฟฟ้ามาใช้อีกครั้งแต่กิจ
กรรมดำเนินไปอย่างช้าๆมีกิจกรรมที่น่าสนใจเกี่ยวกับรถไฟฟ้าก็คือ การรวมตัวกันของนานาประเทศจัดสัมมนาเรื่องรถ
ไฟฟ้าครั้งที่ 1 เมื่อปี คศ.1969 จากนั้นก็มีการส่งเสริมให้ศึกษาและพัฒนารถไฟฟ้าให้เห็นกันแพร่หลาย โดยเน้นที่จะลด
มลพิษจากเครื่องยนต์ให้ได้

ประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างญี่ปุ่นที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ก็เป็นประเทศหนึ่งทีมีปัญหาสารพิษจากไอเสีย
ของเครื่องยนต์เหมือนกัน จึงมีนโยบายที่จะพัฒนารถไฟฟ้าออกมาโดยเป็นแผนระยะยาว 5 ปีในการออกแบบและสร้าง
รถไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพออกมาใช้เพื่อลดมลพิษดังกล่าว ในขณะที่ในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกาเองได้เบี่ยงเบน
ความสนใจจากมลภาวะไปสู่เรื่องของพลังงานมากกว่าเพราะได้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันขึ้นในปี คศ.1979 อีกประการหนึ่ง
คือ การเริ่มใช้ catalytic converter ในปีคศ. 1974 มากรองควันพิษจากท่อไอเสียก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ สามารถลด
ควันพิษได้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว   จึงทำให้งบประมาณการวิจัยที่จะพัฒนารถไฟฟ้าถูกตัดไปใช้ในการคิดค้นด้านพลังงาน
ใหม่ๆขึ้นมาใช้ ส่วนงานวิจัยเกี่ยวกับรถไฟฟ้านั้นคงให้เหลือเพียงการทดสอบในเรื่องสมรรถนะเท่านั้น

แต่กระแสความเลวร้ายของสิ่งแวดล้อมผ่านเข้ามาอีกระลอกหนึ่งในปีคศ. 1980 จากปรากฏการณ์ฝนกรด และความหนาแน่น
ของสารประกอบไนโตรเจนในอากาศ ซึ่งเกิดขึ้นในเมือง ถูกจึงมองไปที่การลดการปลดปล่อยก๊าซพิษของรถยนต์เป็นหลัก
สถานการณ์ส่งผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆก๊าซพิษขยายตัวกว้างขึ้น และมีการตื่นตัวของปัญหาของปรากฏการณ์เรือนกระจก
จากสารประกอบคาร์บอนในการอากาศในช่วงปีคศ. 1988 ช่วงนี้มีการตื่นตัวกันหนักเป็นพิเศษมีการเชิญชวนบริษัทผู้ผลิต
รถยนต์ เข้ามาแข่งขันกันพัฒนาและผลิตรถไฟฟ้ามาขาย แต่ได้รับการตอบสนองจากผู้ผลิตน้อยรายมากแถมมีการพัฒนา
เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพออกมาหลายรุ่นเป็นเหมือนจะเป็นการทิ้งทวนตักตวงผลประโยชน์ในช่วงท้ายคล้ายคนใกล้จะตาย
ev1_charging.jpg (9587 bytes)
   GM's IMPACT CONCEPT CAR - EV1
จนกระทั่งมาถึงต้นปี คศ.1991 บริษัทรถยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
คือ GM ประกาศที่จะพัฒนารถไฟฟ้าขึ้นมาด้วยเหตุผลสาม
ประการคืออย่างแรก(ผมว่าน่าจะเป็นเหตุผลท้ายสุดนะครับ)
คือต้องการที่จะ   ลดมลภาวะทางอากาศที่เกิดจากเครื่องยนต์
อย่างที่สองคือ   เป็นการคาดการณ์ตลาดรถไฟฟ้าและเตรียม
พร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถ เพราะหลายๆ
รัฐสนใจที่จะใช้นโยบาย Zero Emission Vehicle (ZEV)
mandate มาแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ
โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง California มีแผนที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี คศ.1997 เหตุผลสุดท้ายก็คือเป็นความหวังที่จะยึดส่วน
แบ่งตลาด รถคืนมาหลังจากที่พลาดท่าให้กับผู้ผลิตรถจากญี่ปุ่น เอาละครับเมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง GM ประกาศทุ่มสุดตัวจะเอา
ตลาดกลับคืนมาให้ได้ด้วยศักยภาพของ IMPACT CONCEPT CARโครงการที่คุ้นหูกันดีในแวดวงรถไฟฟ้า โดย GM ผลิต
CONCEPT CAR ออกมา 30 คันเมื่อปี คศ.1993 เพื่อทดสอบและเก็บข้อมูลและเมื่อมาถึงปลายปี คศ.1996 มีการทำตลาด
กันอย่างชัดเจน โดยตั้งราคาขายไว้ที่  $33,955 โดยหวังที่จะยึดครองตลาดใหญ่ๆให้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน California
คือเป้าหมายที่สำคัญ
คราวนี้มามองถึงมหาอำนาจรถยนต์ฝั่งตะวันออก
กันบ้างครับญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งดูดายเกาะติด
สถานการณ์กับเขาไปเรื่อยๆ จะเห็นได้จากขณะ
ที่ GM กำลังเพลิดเพลินกับการผลิต EV1 และทำ
ตลาดอยู่นั้นทาง TOYOTA โดดเข้าไปจับมือเกี่ยว
แขนกับ GM ร่วมกันพัฒนาระบบชาร์จกับเขาเมื่อ
กลางปีที่แล้วนี้เอง แต่ไม่ใช่ว่าเพิ่งเริ่มมามองนะ
ครับเพราะเจ้า RAV4 EV ตัวเก่งของ TOYOTA
ผลิตขายเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ปลายปี คศ.1996
rav41.jpg (17230 bytes)
TOYOTA RAV4-EV
และแน่นอนที่สุดเป้าหมายที่สำคัญคือเพื่อรักษาตลาดที่เคยช่วงชิงมาได้เอาไว้ แต่ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งกับเจ้า EV1 ของ
ค่าย GM เพราะเป็นรถคนละประเภทกันพร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้าการขายไว้เรียบร้อยแล้วคือ 320 คันในปี คศ. 2000
ในตลาดรถที่ California ส่วนกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่อง รถไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นนั้น ได้มีการพร้อมทั้งเร่งทำ R&D เตรียม
พร้อมไว้สู้ศึก รวมไปถึงการประกาศใช้นโยบาย ZEV กับเขาเหมือนกัน

ความจริงไม่ใช่มีเพียงสองบริษัทเท่านั้นนะครับเพียงแต่ผมเน้นไปเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน โดยทางฝ่ายยุโรปและอเมริกานั้น
หลายบริษัทผลิตรถไฟฟ้าออกมาจำหน่ายกันบ้างแล้ว ผู้ผลิตรถของญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างก็พัฒนาคิดค้นรถไฟฟ้าที่มี
ประสิทธิภาพออกมาแข่งขันกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง     ไม่เพียงแต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้นแต่รวมไปถึง    บริษัทผู้ผลิต
แบตเตอรี่และอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำ ได้เข้ามามีส่วนพัฒนาเทคโนโลยี่ใหม่มาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถไฟฟ้า
ในช่วงสองสามปีมานี่เองที่กระแสเรื่องสิ่งแวดล้อมกระโหมเข้ามาอย่างหนักเกินที่ประสิทธิภาพของรถยนต์จะต้านทานเอาไว้
ได้ความสว่างไสวของธุรกิจรถไฟฟ้าเริ่มเปล่งรัศมีออกมายากที่จะมีใครหน้าไหนจะทัดทาน


ที่มา : http://silverstone.fortunecity.com/zagato/330/history.htm

โดย : นางสาว virawan bandidthai, ripw., วันที่ 10 สิงหาคม 2545