ที่มา : หนังสือ "เอาลูกรักคืนมา" บทที่ 4 หน้า 41 สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน พิมพ์ครั้งที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2540
เรื่องการศึกษาในโรงเรียนนั้น เรามักไปเน้นความสำคัญของการท่องจำเนื้อหาความรู้มากเกินไป เรียนในห้องเรียนให้ความรู้แล้ว ยังมีการบ้านที่ต้องกลับไปทำที่บ้านอีกมาก แท้จริงพัฒนาการของเด็ก เรื่องจิตใจและเรื่องสังคม เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เรื่องพวกนี้มันเชื่อมโยงกัน เพราะว่าเด็กไม่ใช่วัตถุ เด็กไม่ใช่เทป เราจะไปอัดเทปเอาความรู้ใส่เข้าไปทื่อ ๆ ไม่ได้ เพราะเด็กมีทั้งอารมณ์ ทั้งปัญญา เพราะฉะนั้นเรื่องทางจิตทางสังคมที่เรียกว่า ไซโคโซเชียล เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาขึ้นมาพร้อมกัน ถ้าเราไปสนใจแต่เรื่องยัดเยียดความรู้อย่างเดียว เขาจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เด็กจะขมขื่นมาก แล้วต่อไปเด็กจะไม่รักการเรียน พอเงื่อนไขการบังคับหมดไป เด็กจะไม่เรียนแล้วตอนนี้ ก็อย่างที่เห็น ๆ กันนั่นแหละ ส่วนใหญ่พอเรียนจนได้ใบรับรองการศึกษามาแล้ว มักจะไม่ค่อยเรียนต่อ เพราะมันขมขื่นกับการเรียนโดยการท่องหนังสือเพราะฉะนั้นการที่เด็กจะเล่น การที่เด็กจะคบเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญ เด็กจะได้ฝึกการอยู่ด้วยกัน เด็กจะได้พัฒนาเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ถ้าไปถามเด็ก วันไหนที่หนูมีความสุขที่สุดในโรงเรียน ก็วันที่โรงเรียนมีงานนั่นแหละ เด็กมีความสุขที่สุด เพราะว่าได้เล่น ได้ดูงาน ได้เตรียมงาน มีความคึกคัก สนุกสนาน เรื่องการพัฒนาเด็กนั้น ไม่ใช่มีแต่การท่องหนังสืออย่างเดียว แต่ต้องมีการร่วมกันทำงานทำอะไรด้วยกันให้สนุกด้วย เป็นการเสริมสร้างเด็กขึ้นมา การที่จะให้เรียนโดยหัดคิด หัดสังเกตต่าง ๆ นี้ มีความสำคัญมาก เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่ เรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัย มักจะเน้นแต่การท่องจำเป็นหลัก เลยทำให้คนไทยคิดไม่ค่อยเป็น ทำให้ประเทศอ่อนแอ ขณะนี้เราสูญเสียทางเศรษฐกิจ สูญเสียร้อยแปด ถ้าเราคิดเป็น เรามีสติปัญญา เราจะไม่สูญเสียมากมายอย่างปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นผลของการศึกษาที่ผ่านมา ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องเป็นการศึกษาที่พัฒนาสติปัญญาของคนมากกว่านี้ พวกแพทย์ ที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเป็นคนที่สติปัญญาดี เก่งอย่างโน้นอย่างนี้ กระผมกราบเรียนได้ว่า วิธีที่เรียนมานี้ทำให้แพทย์ไทยขาดสติปัญญาและขาดความสามารถที่จะคุ้มครองประเทศไทยให้พ้นจากความสูญเสีย ตัวอย่างเช่น ต่างประเทศเขาเอายาอะไรมาขายแพทย์จะต้องมีความสามารถที่จะตรวจสอบว่ายานั้นดีจริงหรือเปล่า ยานั้นเอามาใช้กับคนไทยได้ผลคุ้มค่าหรือเปล่า จำเป็นต้องใช้หรือไม่ แต่แพทย์ปราศจากความสามารถเรื่องนี้ ปราศจากวิจารณญาณในเรื่องเช่นนี้ ขณะนี้เราซื้อยาจากต่างประเทศมาเป็นหมื่น ๆ ล้านบาทต่อปี เราซื้อเครื่องมือซึ่งใช้ไม่ได้ผลคุ้มค่าเข้ามาใช้ ทำให้ประเทศเสียหาย จึงจำเป็นต้องปรับปรุงวิธีเรียนเสียใหม่ ถ้าเด็กได้หัดเรียนรู้จากธรรมชาติ เรียนรู้นอกห้องเรียน ได้สังเกตต้นไม้ใบหญ้า สังเกตดิน สังเกตแมลงต่าง ๆ สังเกตแล้วเด็กจะสนุก ได้เรียนรู้จากของจริง ได้เห็นความหลากหลายของธรรมชาติ ทำให้ได้หัดเอามาคิด หัดจด หัดเอามาพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การศึกษาแบบไทย ๆ ทำให้คนใจแคบทำให้เราขาดความสุขทั่ว ๆ ไป เพราะเราเรียนมาใน ลักษณะเห็นอย่างเดียว ซึ่งผิดธรรมชาติ ธรรมชาติต้องมีหลากหลาย ท่านทั้งหลายลองไปดู ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ต่าง ๆ ซึ่งมีความหลากหลาย แต่วิธีเรียนเราเรียนให้เห็นอย่างเดียวกัน ให้คนทั้งหมดเหมือนกันหมด จะให้วาดรูปถ้วยสักใบหนึ่ง เราก็ตีกรอบว่าเด็กทุกคนต้องวาดรูปถ้วยมาเหมือนกัน แต่ถ้าลองอีกแบบว่าให้เด็กคิดเอาเอง ใครอยากจะคิดฝันวาดถ้วยแบบใดก็ได้ เราก็จะได้ถ้วยสามสิบสี่สิบแบบในห้องไม่เป็นแบบเดียวกันหมด วิธีเรียนของเราเวลานี้ เราพยายามทำให้เหมือนโรงงาน คือผลิตวัตถุให้เหมือนกันทุกชิ้น แต่ว่าคนไม่ใช่วัตถุ คนเป็นปัจเจกบุคคล แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความชอบ มีอารมณ์ มีความแตกต่างกันออกไป ถ้าให้โอกาสแสดงความแตกต่างกันออกมาตามธรรมชาติ คนจะอยู่กันด้วยความสุขมากขึ้น การสร้างเด็กให้มีคุณลักษณะให้เป็นคนมีความสำคัญกว่าสร้างให้เป็นเทปบันทึกเสียงชนิดที่ขาดวิ่น ครูสอนอะไรก็บันทึกเอาไว้ แต่บันทึกไม่หมด ได้บางส่วน เรียกว่าเทปที่ขาดวิ่น แต่เด็กเป็นคน สิ่งที่ สำคัญที่สุดคือการสร้างเด็กให้มีคุณลักษณะที่เป็นคน มีจิตใจดี มีความสุข มีความใฝ่รู้ ไม่เกลียดการศึกษา มีความรักในผู้อื่น เข้าใจความหลากหลายของสิ่งต่าง ๆ ถ้าเราสร้างคุณลักษณะของมนุษย์เช่นนี้ขึ้นเด็กก็พร้อมที่จะอยู่บนเส้นทางที่จะพัฒนาไปเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ถ้าเราสร้างเด็กเป็นแบบเทปหรือเป็นแบบวัตถุ เด็กจะลำบากมาก จะพัฒนาต่อไปลำบาก เป็นมนุษย์ที่ขาดวิ่น ขาดสติปัญญา ขาดจิตใจที่มีความสุขขาดความรักผู้อื่น ต่อไปจะเป็นคนที่ก้าวร้าวรุนแรงบุคคลเหล่านี้ไปอยู่ที่ใด ก็ทำให้ที่นั่นมีแต่ปัญหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าในครอบครัวหรือที่ทำงานต่าง ๆ
|