เอดส์ คือ โรคที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง หรือ เสื่อมไปเพราะถูกทำลายโดยเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า เอชไอวี (HIV) หรือเชื้อเอดส์
เอดส์ เขียนใน ภาษาอังกฤษว่า A I D S ประกอบด้วยตัวย่อจากคำต่าง ๆ 4 คำนั่นคือ
- A มาจาก Acquired หมายถึงการเกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด
- I มาจาก Immune หมายถึง ภูมิคุ้มกัน
- D มาจาก Deficiency หมายถึง การขาดแคลน
- S มาจาก Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการ
ดังนั้น โรคเอดส์ จึงหมายถึงกลุ่มอาการที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีการทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ภายหลังจากที่ได้รับเชื้อไวรัสโรคเอดส์เข้าไป ภูมิคุ้มกันที่ว่าก็คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในกระแสโลหิต ซึ่งปกติทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันดักจับทำลายเชื้อโรคร้ายที่เข้ามา แต่เมื่อใดที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอดส์ เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะเข้าไปทำลายเซลเม็ดเลือดขาว ทำให้ประสิทธิภาพในการเป็นภูมิคุ้มกันร่างกายเสียไป ไม่สามารถดักจับเชื้อโรคจากภายนอกที่ล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายได้เหมือนเดิม เป็นผลให้เจ็บไข้ไม่สบายได้ง่ายจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ อาทิ ท้องเสีย หวัด วัณโรค และโรคผิวหนังต่าง ๆ เป็นต้น
เอดส์ พบครั้งแรกในทวีปแอฟริกา จากนั้นก็แพร่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นโรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัว คร่าชีวิตผู้คนชาวโลกไปมากมายก่อนวันอันควร และจนถึงวันนี้ ยังไม่มีวิธีหรือยาอันใดที่สามารถรักษาให้หายขายได้ เอดส์ จึงเป็นโรคร้าย เราควรจะได้ทำความรู้จักและเข้าใจ เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวเราและคนที่เรารักค่ะ
การรักษา
การค้นคว้าวิจัยในการรักษาโรคเอดส์ได้กระทำกันอย่างต่อเนื่องหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นในแพทย์แผนปัจจุบันทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเซีย หรือแม้กระทั่งความพยายามของนักวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่พยายามทดลองใช้สมุนไพรหลาย ๆ อย่าง เพื่อหาทางรักษาโรคเอดส์ให้หายขาด แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครพบคำตอบที่ต้องการ
สำหรับการรักษาที่กระทำกันในปัจจุบันนั้น เป็นเพียงแค่ยาต้านเชื้อไวรัสเอดส์ ที่จะช่วยชลอการทำลายของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีหน้าที่หลักในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยานี้จะเข้ามาช่วยลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสเอดส์ในร่างกาย
การให้ยารักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นโดยใช้ยาเพียงตัวเดียวก่อน ส่วนการใช้ยาหลายตัวร่วมกันหรือการใช้สลับกันนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษาเป็นสำคัญ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผลการรักษาโรคเอดส์ในปัจจุบัน ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร การป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อโรคเอดส์เป็นเรื่องที่สำคัญมากในสถานการณ์ทุกวันนี้
ส่วนการทดลองวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาข้อสรุปว่าจะได้วัคซีนที่หลายคนกำลังรอคอยหรือไม่ ดังนั้นทั้งยารักษาและวัคซีนป้องกันโรคเอดส์จึงยังเป็นความฝันของมนุษยชาติทั่วโลก
การป้องกัน
วิธีที่จะทำให้การป้องกันโรคเอดส์ได้ผลดีอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การให้ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้แก่ทุก ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่ เพราะการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน มีตัวเลขการติดเชื้อโรคเอดส์ที่สูงขึ้นตลอดเวลา การให้ความรู้จึงต้องเน้นให้ตระหนักว่าเอดส์เป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นปัญหาสังคมที่มีผลกระทบต่อทุกคน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจช่วยแก้ไขปัญหา
การป้องกันที่ได้ผล ควรเริ่มต้นจากการที่มีความรู้ว่า โรคเอดส์สามารถแพร่กระจายมาสู่ตัวเราได้ด้วยวิธีใดบ้าง เพราะการที่เชื้อเอดส์จะเข้าสู่ร่างกายเราได้นั้น มักเกิดจากการที่ตัวเราไม่รอบคอบระมัดระวังเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีประมาณ 80 % หรือการติดต่อทางเลือด จากการใช้เข็มและกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกันกับผู้มีเชื้อโรคเอดส์ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเจตคติและค่านิยมทางเพศ ไปในทิศทางที่เหมาะสม จึงเป็นเรื่องจำเป็น อย่าลืมนะคะว่า ความสุขในครอบครัวเป็นสิ่งที่มีค่า และต้องอาศัยความรับผิดชอบของทุกฝ่าย โดยเฉพาะคุณพ่อและสามีที่น่ารักทุกท่าน ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มแม่บ้านและทารก เอดส์จะไม่มีทางย่างกรายมาสู่ตัวท่านได้เลย ถ้าท่านไม่สมยอม
อาการของผู้ป่วยโรคเอดส์
แม้ว่าโรคเอดส์จะยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่ถ้าผู้ติดเชื้อเอดส์รู้ตัวได้เร็ว มีการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ก็สามารถจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อไปได้อีกหลายปีทีเดียวล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นลองฟังดูนะคะว่า อาการนำที่พบได้บ่อย ๆ ในผู้ติดเชื้อเอดส์ นั้นมีอะไรบ้าง
- มีไข้ต่ำ ๆ เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นตลอดเวลา มีเหงื่อออกมาตอนกลางคืน
- น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว กว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวในระยะเวลา 1 เดือน เบื่ออาหาร อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย
- ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้เป็นก้อนขนาดโตกว่า 1-1.5 เซนติเมตร หลายตำแหน่ง เช่น บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ
- มีอาการทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม อารมณ์แปรปรวนเปลี่ยนแปลงง่าย และอาจมีอาการทางสมอง เช่น แขนขาชา อัมพาตครึ่งซีก ชักกระตุก
- มีฝ้าขาวที่ลิ้นและช่องปากเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์
- มีเริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ มักเป็นชนิดลุกลามและเป็นอยู่นาน
- มีอาการกลืนเจ็บ กลืนติด กลืนลำบาก สาเหตุเกิดจากเชื้อราในช่องปากลุกลาม ลงไปที่หลอดอาหารส่วนต้น ทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ
- มีผื่นสีม่วงแดงหรือตุ่มสีม่วงขึ้นตามผิวหนัง แขน ขา ลำตัว หน้า ศีรษะ อวัยวะเพศ และในช่องปาก
- มีอาการอุจจาระร่วงเรื้อรัง ถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือถ่ายเป็นมูกเลือด
- มีอาการตามัว มองเห็นไม่ชัด และอาจตาบอด เนื่องจากจอตาอักเสบ
- มีไข้ ซึม หมดสติ และชักกระตุก เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- มีอาการไข้ หอบ เหนื่อย หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ สาเหตุมาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ
อาการเริ่มต้นทั้ง 12 ข้อนี้ มักพบได้บ่อย ๆ ในผู้ติดเชื้อเอดส์ แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับคนที่ไม่ติดเชื้อเอดส์ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการคล้ายคลึงกับที่กล่าวมา แล้วเกิดความวิตกกังวลไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งตีความไปเองนะคะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นมาได้ก็ด้วยการตรวจเลือดวิธีเดียวเท่านั้นค่ะ
โรคติดเชื้อ HIV
โรคติดเชื้อไวรัสเฮชไอวี Human Immunodeficiency Virus (HIV) และโรคเอดส์เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและการตายของประชากรอายุ 20 ถึง 50 ปี ซึ่งเป็นประชากรที่อยู่ในวัยทำงานและเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
ในปัจจุบันมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมจากการศึกษาวิจัยในหลายประเทศที่แสดงว่า การใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ที่เหมาะสมในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV มีความปลอดภัยและมีประโยชน์ ที่สำคัญคือ
(1) การใช้ยาต้านไวรัสเอดส์จะยืดอายุขัยของผู้ป่วย
(2) สามารถลดอัตราตาย
(3) ลดอัตราป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาส
(4) ลดการรักษาด้วยยาป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส
(5) ลดโอกาสที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
(6) เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
(7) ทำให้ผู้ป่วยส่วนมากสามารถทำงานและดำรงชีวิตตามปรกติในสังคมไทย
สรุปได้ว่าการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ที่เหมาะสมถือเป็นการรักษาที่คุ้มค่าในปัจจุบัน
รายงานจากกลุ่มประเทศยุโรป อัตราอัตราเสียชีวิตจากโรคเอดส์ลดลงจาก 65.4 เหลือ 3.4 (หน่วยเป็นต่อ 100 person-years ของการติดตาม) (อ้างอิงถึง Palella FJ Jr, Delaney KM, Moorman AC, et al. Declining morbidity and mortality among patients with advanced human immunodeficiency virus infection. HIV Outpatient Study Investigators. N Engl J Med, 1998; 338: 853-860)
รายงานการศึกษาจากประเทศบราซิลซึ่งรัฐบาลมีนโยบายให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์แก่ผู้ติดเชื้อทุกรายตั้งแต่ พ.ศ. 2538 โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 150,000 รายได้รับการรักษานั้น พบว่าอัตราเสียชีวิตจากโรคเอดส์และอัตราการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ HIV และโรคที่เกี่ยวข้องลดลงอย่างชัดเจน (อ้างอิงถึง Mocroft A, Vella S, Benfield TL, et al. Changing patterns of mortality across Europe in patients infected with HIV-1. EuroSIDA Study Group. Lancet 1998; 352:1725-30)