|
|
ข้อมูลดวงอาทิตย์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1,392,000 กิโลเมตร (109 เท่าของโลก) มวล (โลก = 1) 332,943 เท่าของโลก ความหนาแน่นเฉลี่ย 1,408 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร หมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตร 25.04 วัน อุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส แรงโน้มถ่วงที่ผิว 27.9 เท่าของโลก ธาตุสำคัญ ไฮโดรเจน 71 % ฮีเลียม 27 % ออกซิเจนและธาตุอื่น ๆ 2 %
|
ดวงอาทิตย์ : แหล่งกำเนิดพลังงานในระบบสุริยะ ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์สามัญดวงหนึ่ง มีขนาดและความสว่างอยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์อื่น เป็นกลุ่มก๊าซร้อนจัดขนาดมหึมา ที่รวมตัวเป็นทรงกลมอยู่ได้ ด้วยแรงโน้มถ่วงมหาศาลและการหมุนรอบตัวเอง
การศึกษาสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ พบว่า ดวงอาทิตย์มีธาตุต่าง ๆ อยู่มากมาย ธาตุที่มีมาก ที่สุดในดวงอาทิตย์ถึง 3 ใน 4 ส่วน คือ ไฮโดรเจน รองลงมา คือ ฮีเลียม ธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ อยู่ในสภาวะที่เรียกว่า พลาสมา ( plasma ) คือมีประจุไฟฟ้า เพราะอยู่ภายใต้อุณหภูมิและ ความกดดันสูงมาก ประมาณว่าในใจกลางดวงอาทิตย์คงมีอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งสูงมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ หลอมไฮโดรเจนให้กลายเป็นฮีเลียม กระบวนการนี้ให้พลังงานแผ่ออกไปในระบบสุริยะปริมาณมหาศาล
|
พลังงานจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาหลายรูปแบบ คือ อนุภาคพลังงานสูง และ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยคลื่น ต่าง ๆ ที่มีความยาวคลื่นหลายช่วง บางช่วงคลื่น มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ได้แก่ คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด รังสีอัลตราไวโอเลท รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา รังสีคอสมิก เป็นต้น และบางช่วงคลื่นที่เรามองเห็นได้คือในคลื่นแสงธรรมดา |
|
ชีวิตของดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์สีเหลือง อุณหภูมิผิวประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร อยู่ในวัยกลางของชีวิต คือ ประมาณ 5,000 ล้านปี คาดว่า ดวงอาทิตย์จะมีอายุคงอยู่ต่อไปอีกราว 5,000 ล้านปี ตลอดชีวิตของดวงอาทิตย์จึงมีอายุยืนยาวราว 10,000 ล้านปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของดาวฤกษ์ทั่วไป ปัจจุบัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผ่พลังงานอยู่ในสภาพสมดุล เพราะพลังงานจากปฏิกิริยา เทอร์โมนิวเคลียร์ในใจกลางดวงสมดุลกับการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วง จนเมื่อใดดวงอาทิตย์ ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในใจกลางดวงเหลือน้อยลง ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงชีวิต ที่ไม่สมดุลในบั้นปลาย เมื่อย่างเข้าวัยปลาย ดวงอาทิตย์จะขยายตัวออกกลายเป็น ดาวยักษ์แดง จนมีขอบเขตเลยวงโคจร ของดาวอังคารออกไป ก๊าซและฝุ่นรอบนอกถูกแรงดันแผ่กระจายออกทุกทิศทาง มีลักษณะคล้าย วงแหวนของก๊าซ เรียกว่า เนบิวลาดาวเคราะห์ (Planetary Nebula) ส่วนใหญ่มีสีสันสวยงาม ขณะที่ใจกลางดวงอาทิตย์ยุบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วงที่มีพลังสูงกว่า จนมีขนาดเล็กเท่าโลก กลายเป็น ดาวแคระขาว (White Dwarf) และสิ้นสุดชีวิตดาวฤกษ์ กลายเป็นดาวตายดับไปในที่สุด |
จุดบนดวงอาทิตย์กับลมสุริยะ จุดบนดวงอาทิตย์เกิดขึ้นที่ชั้นโฟโตสเฟียร์ บริเวณจุดมีเส้นแรงแม่เหล็กหนาแน่น เพราะความร้อน ที่ส่งออกมาจากตัวดวงถูกสนามแม่เหล็กความเข้มสูงหน่วงไว้ รบกวนการหมุนเวียนและการส่ง พลังงานของมวลสารภายในตัวดวงและทำให้เกิดการ ระเบิดลุกจ้า (solar flares) ตามมา ลำก๊าซพุ่งขึ้นเป็นทางยาว เรียกว่า ฟิลาเมนท์ (filaments) บางครั้งเรามองเห็นที่ขอบดวงเป็นลำก๊าซ ขนาดใหญ่พุ่งขึ้นและโค้งตกกลับลงสู่ผิวดวง เรียกว่า พวยก๊าซ (prominences) พบความสัมพันธ์ระหว่างจุดกับการระเบิดลุกจ้า เมื่อมีจุดเกิดขึ้นมากก็เกิดการระเบิดลุกจ้าบ่อย การระเบิดสาดกระแสธารอนุภาคประจุไฟฟ้าพลังสูงแผ่ออกไปในระบบสุริยะ เกิดเป็น ลมสุริยะ (solar wind) เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงและเดินทางมาถึงโลกในเวลา 3 - 4 วัน ลมสุริยะเป็น อันตรายต่อชีวิตบนโลก โชคดีที่โลกมีบรรยากาศห่อหุ้มและยังมีสนามแม่เหล็กเป็นเกราะป้องกันภัย ไม่ให้อนุภาคเหล่านั้นผ่านลงสู่ผิวโลกได้ เมื่อลมสุริยะปะทะกับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้สนาม แม่เหล็กโลกแปรปรวน และเนื่องจากเส้นแรงแม่เหล็กโลกพุ่งเข้าและพุ่งออกจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ในแนวดิ่ง ดังนั้น อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจากลมสุริยะจึงเคลื่อนที่ควงสว่านรอบ เส้นแรงแม่เหล็กโลก วิ่งเข้าสู่บรรยากาศโลกทางขั้วเหนือหรือขั้วใต้ แต่ไม่สามารถผ่านเข้ามาใน แนวเส้นศูนย์สูตร นอกจากอนุภาคที่มีพลังงานสูงมากเท่านั้น
|
พวยก๊าซ (prominence) |
อิทธิพลของลมสุริยะต่อโลก |
อิทธิพลของลมสุริยะต่อโลก จากการศึกษาดวงอาทิตย์ต่อเนื่องมานานกว่า 250 ปี พบว่าปริมาณ จุดบนดวงอาทิตย์มีการเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นคาบทุกรอบ 11 ปี ในช่วงปี พ.ศ.2543-2544 เป็นช่วงที่เกิดจุดบนดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นนับเป็นคาบที่ 23 เมื่อเกิดการระเบิดลุกจ้าขึ้น ดวงอาทิตย์แผ่ลมสุริยะมายังโลกรุนแรง อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อบรรยากาศโลก ดาวเทียมและยานอวกาศที่โคจรรอบโลก ตลอดจนระบบสื่อสารและระบบไฟฟ้าบนพื้นโลกได้ |
| |