เธอเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความจำเป็นเยี่ยม
โดยเฉพาะกับความทุกข์ความผิดที่ทำพลาดไป
เธอจำรายละเอียดได้ทุกบททุกตอน
และไม่ลืมที่จะย้ำให้ฉันฟังในทุกครั้งที่ได้โอกาส
เธอช่างไม่รู้เลยหรือว่า
ควรจะจัดการกับความทรงจำนั้นอย่างไร
ฉันออกรู้สึกประหลาดใจ
ทำไมเธอช่างกักขังสิ่งที่ไม่ดี ทำให้ไม่สบายใจ
อยู่ได้อย่างไรเป็นแรมปีแรมเดือน
ปล่อยให้มันสะสมท่วมขังความรู้สึกนึกคิด
คล้ายกับเป็นน้ำท่วมอยู่อย่างไม่มีวันลด
และยังเพิ่มระดับอย่างไม่สิ้นสุด
ฉันมองดูระดับของมันอย่างท้อแท้ สิ้นหวัง
หวาดระแวงว่า สักวันหนึ่งมันคงท่วมทำลาย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยได้สร้างขึ้นมา
จนหมดสิ้น ย่อยยับ
ปกติคนเรานี้อมทุกข์ได้เก่งมากจริงๆ แต่อมสุขไม่เป็นเลย ความสุขความพอใจที่เกิดขึ้นนี้เราต้องฝึกที่จะรักษาเอาไว้ ปกติแล้วเรามักจะชำนาญในการเก็บความทุกข์มากกว่าความสุข เรียกว่าเก่งโดยไม่ต้องปฏิบัติ อะไรไม่ถูกใจ อะไรเป็นทุกข์มักเก็บไว้รักษาไว้เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ ผูกพยาบาทอยู่ได้นานๆ หลายภพหลายชาติ เรียกว่า เป็นคนเก่งในการอมทุกข์
ตรงกันข้ามเราไม่เก่งในการอมสุข ถ้าเปรียบเป็นขาก็เหมือนคนมีความยาวของขาไม่เท่ากัน เป็นคนพิการถ้าเราเก่งในการอมทุกข์ได้ถึงขนาดนนี้เราต้องฝึกให้เก่งในการอมสุขด้วย ใครสักคนยกย่องสรรเสริญเราคำเดียวรู้สึกมีความสุข แต่ไม่นานก็หายไปเหมือนน้ำแข็งก้อนเล็กๆในฤดูร้อนไม่นานก็ละลายหมดไป
ตรงกันข้ามถ้ามีใครนินทาเราสักคำเดียวเราก็รู้สึกทุกข์ เจ็บใจตลอดไป เหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ๆอยู่ในหัวใจตลอดไปความจริงสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขก็มีมาก
แต่เรามีความรู้สึกว่าเรามีความทุกข์มาก สะสมความทุกข์ไว้เต็มหัวอกเราจึงเครียดเป็นทุกข์มาก สังคมจึงมีคนเครียดมากขึ้น
เป้าหมายของการปฏิบัติ คือ พยายามทำความทุกข์ที่เหมือนก้อนหินใหญ่ๆที่อยู่ในหัวใจเราให้เหมือนน้ำแข็งก้อนเล็กๆในฤดูร้อนไม่นานก็หายไป เราทำใจของเราให้ปีติและสุขทุกลมหายใจเข้าออก คือ ฝึกอมสุขนั่นเอง
ที่มาข้อมูล:ข้อสอบ PRE- ENT ครั้งที่ 1 2544 วิชา ภาษาไทย และ หนังสือเรื่อง ค้หา ของ นวลศิริ เปาโรหิตย์
|