เวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร(4 )

คุณลักษณะของบุคคลจากเวสสันดร กัณฑ์กุมาร

พระเวสสันดร

พระเวสสันดรมีคุณลักษณะสำคัญที่ปรากฏชัดเจนในกัณฑ์กุมาร คือ

1.มีจิตยินดีในการบริจาคทาน ยินดีบริจาคแม้แต่ลูกอันเป็นที่รักซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับบุคคลธรรมดาจะทำได้ ดังตัวอย่างข้อความ

“ปางนั้นสมเด็จพระมหาสัตว์ เสด็จออกนั่งหน้าพระอาศรมบท งามปรากฏดุจรูปทองทั้งแท่งอันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาตั้งไว้ จินเตสิ มีน้ำพระทัยรำพึงหายาจกจะมารับพระราชทาน สุรา โสณโฑ ปิ้มปานประหนึ่งว่านักเลงสุราบานคอยหาเจ้าเหล้า”

“โส โพธิสตโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมนราพิสุธิพุทธางกูร ได้ฟังพราหมณ์อธิบายทูลขอสองกุมาร มีน้ำพระทัยชื่นบานเอิบอาบด้วยกุศลลาภอันเลิศฟ้า อุปมาเหมือนบุรุษอันยากไร้ มีผู้นำทรัพย์มานับให้พันตำลึงถึงมือแล้วเมื่อใด น้ำพระทัยท้าวเธอก็ปราโมทย์เหมือนฉะนั้น”

2.มุ่งบำเพ็ญพรต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับชีวิตทางโลก ทรงแยกกันอยู่กับพระนางมัทรี ดังตัวอย่างข้อความ

“เอ๊ เจ้ามัทรีเจ้ามาไยเวลาป่านฉะนี้พระน้องเอ่ยผิดเวลากาล หรือเจ้าลืมคำปฏิญาณแรกนิยม ว่าไม่คบหาสมาคมกันเป็นเชิงชั้นฉันฆราวาสเวลานี้นี่ก็ผิดประหลาดอยู่แล้วนะเจ้าเป็นไรเล่าจึ่งล่วงมา”

3.ปรารถนาที่จะสำเร็จพระโพธิญาณ เพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลาย ดังตัวอย่างข้อความ

“ครั้นอาตมะจะอาลัยหลงอยู่ด้วยความรัก ไหนจะหักสิเนหาให้เหือดหาย ด้วยอาตมะจะมุ่งหมายพระโพธิญาณทานธุระจะเริดร้าง”

“พระลูกเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรือพระบุติรงค์บรรจงรักพระโพธิญาณ หวังจะยังสัตว์ให้ข้ามห้วงมหรรณพภพสงสารให้ถึงฟาก เป็นเยี่ยงอย่างยอดยากที่จะข้ามได้”

“พราหมณ์เอ่ยจงมารับพระราชทานสองกุมารแต่โดยดี เธอก็หล่อหลั่งอุทกวารีลงในมือพราหมณ์ ตั้งพระทัยไว้ให้งามดั่งดวงแก้ว แล้วก็ออกพระอุทานวาจาอันแจ่มใส ว่าพราหมณ์เอ่ย ลูกทั้งสองของเรานี้นี่ เรารักดั่งดวงใจนัยนเนตร เหตุว่าเรารักพระโพธิญาณยิ่งกว่าสองกุมารได้ร้อยเท่าพันทวี อิทํ ทานํ เดชผลทานในครั้งนี้จงสำเร็จ แด่พระสร้อยสรรเพชญพุทธรัตนอนาวรณญาณในอนาคตกาล โน้นเถิด”

“ตัวเราผู้ทำทานเหมือนตัวปลา พระโพธิญาณในภายหน้านั้นคือหน้าไซ ปรารถนาจะเข้าไปจึงยกพระลูกให้เป็นทานบารมี”

4.สมาธิ มีความอดทนอดกลั้นระงับดับความโกรธได้ ดังตัวอย่างข้อความ

“น้ำพระทัยท้าวเธอถอยคืนจากอุเบกษา บังเกิดวิชชามาห่อหุ้ม พระปัญญานั้นกลัดกลุ้มไปด้วยโมโหให้ลุ่มหลง โทโสเข้าซ้ำส่งให้บังเกิดวิหิงสาขึ้นทันที ว่าอุเหม่ ! อุเหม่ ! พราหมณ์ ผู้นี้นี่อาจองทะนงหนอ มาตีลูกต่อหน้าพ่อไม่เกรงใจ ธชีเอ่ยกูมาอยู่ป่าเปล่าเมื่อไร ทั้งพระขรรค์ศิลป์ชัยก็ถือมา ธนจาปํ คเหตวา ก็ทรงพระแสงธนูศรกระสันมั่นกับมือ ฆ่าพราหมณ์ผู้นี้เสียเถิดหรือ เธอก็ฮึดหื้ออยู่แต่ในพระทัย ภายหลังจึงตั้งจิตพิจารณาในพระอริยประเพณีหน่อพุทธางกูร ก็รู้ว่าอาตมะนี่เพื่มพูนมหาปุตตบริจาคเจียวสิหว่า เมื่อพระปัญญาบังเกิดมี พระบรมราชฤษีเธอจึ่งตรัสสอนพระองค์เองว่า โภ เวสสนตร ดูกรมหาเวสสันดร อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันไม่ต้องการ ให้ลูกเป็นทานแล้ว พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส”

“โส โพธิสตโต ส่วนสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ตรัสได้ทรงฟังพระสุรเสียงแก้วกัณหาเสียวพระสกลกายาเย็นระย่อ เศร้าสลดระทดท้อพระหฤทัยเธอถอยหลัง พระนาสิกอึดตั้งอัสสาสปัสสาสน้ำพระเนตรเธอไหลหยาดหยดเป็นสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดซึ่งโศกา จึ่งเอาพระปัญญาวินิจฉัยเข้ามาข่มโศกว่าบุตรวิโยคทั้งนี้บังเกิดมีเพราะความรัก จำจะเอาอุเบกขาเข้ามประหารหักให้เสื่อมหาย ท้าวเธอก็กลับสุขเกษมเปรมสบายพระกายก็สดใส ดั่งพระจันทร์ทรงกลด นั้นแล”

5.มีปัญญาหยั่งรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ดังตัวอย่างข้อความ

“โส โพธิสตโต ปางนั้นสมเด็จพระหน่อชินวงศ์องค์โพธิสัตว์ เงี่ยพระโสตสดับอรรถตั้งแต่ต้นจนอวสานก็ทรงทราบด้วยพระอนุมานปัญญาบารเมศว่า เสว วันรุ่งพรุ่งนี้จะมีเหตุด้วยปฏิคาหกยาจกจะมารับพระราชทาน”

พระนางมัทรี

1.นับถือเชื่อฟังพระสวามี ดังตัวอย่างข้อความ

“ชาลี กุมาโรปิ แม้อันว่าพระชาลีราชกุมาร เมื่อได้สดับวโรงการพระปิตุราช จึ่งคิดว่าอาตมะนี่เป็นลูกกษัตริย์ขัตติยยอดยิ่ง อะไรจะมานั่งนิ่งให้พระบิดาเรียกสองคำมิบังควรนัก ถึงว่าเฒ่าทรลักษณ์จะตีด่าฆ่าเสียก็ตามเถิด คิดแล้วเธอก็เปิดใบบัวจากเศียรเกล้าขึ้นมา กอดพระบาทเบื้องขวาพระบิตุรงค์ทรงพระกันแสงเศร้า”

2.ช่างสังเกต ดังตัวอย่างข้อความ

“ส่วนพระทองร้อยชั่งทั้งคู่ พิศดูเห็นบุรุษโทษสิบแปดประการ เกิดในสันดานเฒ่าบัดสีพ่อชาลีก็นิ่งไว้ในพระทัย”

3.มีความเฉลียวฉลาด ดังตัวอย่างข้อความ

“สองเจ้าก็วิ่งวนถึงมงคลสระศรี สองกุมารกุมารีทรงผ้าคารองเข้าให้มั่นคง แล้วเสียรอยถอยหลังลงสู่สระศรี เอาวารีมาบึงองค์ เอาใบบุษบงมาบังพระเกศ หวังจะซ่อนพระบิตุเรศกับพราหมณ์ด้วยความกลัว อยู่ในสระบัว นั้นแล”

4.มีศิลปะในการใช้ภาษา ดังตัวอย่างข้อความ

“ฝ่ายพระชาลีแม่กัณหา ปัจจุคคนตวา ถวายบังคมลาออกไปก่อนต้อนรับพราหมณ์ ครั้งถึงจึงไต่ถามตามประสาเด็กแต่โดยดี ว่าลุงชีเจ้ามาแต่ทางไกล ถุงไถ้ไม้เท้าสิ่งใดหนัก ส่งมาเถิดหลานรักจะช่วยรับไป”

“สงสารพระชาลีเหลียวมาดูพระน้องแก้วกัณหา แล้วก็ทรงพระโศกาพิไรร่ำ กณเห ดูกรเจ้าแก้วกัณหาเอ่ย หญิงชายผู้ใดเลยเกิดมาในห้วงมหรรณพภพสงสาร ยังมิถึงซึ่งพระนิพพานตราบใดก็ย่อมต้องทุกข์โพยภัยประหาร ปานประหนึ่งว่าตัวเรานัเจ้าพี่”

“ทารกา ทารกผู้ใดไร้นิราศปราศจากแม่ยังแต่พ่อผู้เดียว ก็เปล่าเปลี่ยวได้ชื่อว่าสูญสิ้นทั้งบิดาและมารดา ถึงจะประโลมเลี้ยงรักษาเล่าก็ไม่ถึงใจ ถึงจะได้ทุกข์ภัยสักร้อยสิ่ง อันบิดาแล้วก็นิ่งไม่ได้นำพา อันคุณของพระมารดาท่านพรรณนาไว้ว่าเป็นที่ยิ่ง สจจํ คำที่ว่ามานั้นก็จริงเสอมอยู่แล้วนะพระน้องแก้วกัณหา เหมือนหนึ่งอกเราทั้งสองในครั้งนี้ พระชนนีไม่อยู่ อ้ายพราหมณ์มันจึงข่มขู่เคี่ยวเข็ญกระทำโทษ”

ชูชก

1.มีความอดทนต่อความลำบากเพื่อผลประโยชน์ของตน ดังตัวอย่างข้อความ

“จะทูลขอพระยอดรักปิโยรส ได้แล้วก็จะบทจรมุ่งไปหาเมีย เห็นจะไม่เสียทีที่ถ่อร่างมาหอมรวน คิดแล้วเฒ่าก็หันหวนหาที่นอน พอจะซอกซอนให้พ้นสัตว์จตุบาท เฒ่าก็ปืนทะลุดทะลาดขึ้นสู่ชะง่อนเขา พราหมณ์ก็นั่งซบเซาคำนึงนึก เสียงสกุลร้องก้องกึกให้หวั่นหวาด พระพายชายพัดบุปผชาติหอมระรวยมา เฒ่าก็เหวี่ยงย่ามละว้าวางลงต่างหมอน นอนไขว้ห้างทางสาธยายมนต์”

2.รู้จักพินิจพิจารณาหาช่องทางที่เหมาะสม ดังตัวอย่างข้อความ

“มาตรแม้นและว่าอาตมะจะรุกร้นโลภเข้าไปขอ ซึ่งพระปิยบุตรน้อยหน่อผู้แนบอก ที่ไหนพระนางเธอจะยอมยกซึ่งพระปิยบุตรทานบารมี น่าที่จะเสียทีทั้งสองทาง ฝ่ายพระองค์ผู้ทรงสร้างก็จะเสียศรัทธาผล ฝ่านเราผู้แสนจนก็จะปราศจากลาภคว้าน้ำเหลวอยู่ลังเล เสว เอ ! ต่อรุ่งเวลาพรุ่งนี้เถิดสินะคอยให้พระนางเธอหลีกละพระเจ้าลูกทั้งคู่เข้าสู่ดง ยังแต่องค์พระสมเด็จพระชินวงศ์วรราช อุปสงกมิตวา อาตมะจึ่งจะลีลาศลอดเลาะเข้าไปสู่เฉพาะพระเพ็ญพักตร์ จะทูลขอพระยอดรักปิโยรส”

“เฒ่าชราได้โอกาสด้วยตะแกฉลาดในเชิงภิกขาจาร เมื่อจะทูลขอสองกุมาร เฒ่าก็พูดหว่านล้อมด้วยคำยอ ชักเอาแม่น้ำทั้งห้าเข้ามาล่อ อุปมาถวายเสียก่อน แล้วจึ่งหวนย้อนขอต่อเมื่อภายหลังว่า”

“พราหมณ์ก็ทูลตอบคดีในทันใด ว่าไม่ได้ไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า ซึ่งโชครวยนั้นก็จะดีถ้าฉวยว่าเสียทีสิมิเป็นการ พูดหน้าเป็นหลังความกลัวใช่พอดี ท้าวเธอก็จะลงเอาว่าธชีนี้ลักพระราชนัดดา ตัวก็จะต้องราชอาชญาไม่เห็นหน้าเมีย ลาภก็จะเสียเมียก็จะว่า ผิดชอบพาไปเมืองกลิงคราษฎร์ให้นางอมิตตดาใช้ต่างทาสทาสาทาสี นี้แล้วแล”

3.ประพฤติตนไม่เหมาะสมทั้งการพูดและการกระทำ ดังตัวอย่างข้อความ

“พระองค์จะให้อยู่ท่าพระมัทรี ข้อนี้จวนจะกราบลา อิตถิโย มนุตํ ขึ้นชื่อว่ามารยาหญิงนี้แสนแยบ ดีแต่ว่าจะคิดแคบเสียดายของเคยครอบครองภิรมณ์รื่น คอยแต่ว่าจะรวมริบยากที่จะยกหยิบเอาออกยื่นเป็นยอดทาน ขึ้นชื่อว่าสามานย์มัจฉริยะเกิดกันกั้นกุศล หมื่อนแสนจะได้ดีแต่ละคนนี้ทั้งยาก”

“ดูกรพระมหาเวสสันดร เขาขึ้นชื่อลือขจรว่าใจบริสุทธิ์ แต่เดิมทียุติจริงใจศรัทธาไม่ย่อท้อเราเอ่ยปากขอคำเดียวก็ให้ลูก ถูกกับคำเขาลือเล่าว่าเลิศกษัตริย์ บัดเดี๋ยวนี้สิผัดจะให้อยู่ท่าพระมัทรีครั้นว่าธชีมิยอมอยู่ กลับจะให้พาไปสู่สำนักพระเจ้ากรุงสญชัย ครั้นว่ารู้เท่าเขามิไปเหมือนใจคิด ก็จนจิตนั่งนิ่งทำหน้าเฉย ขยิบตาชำเลืองเลยลอบแลลอดสอย พยักหน้าให้ลูกหนี ชะออชาลีก็ไหวเหลือลุกประสมเห็นพ่อทำตาคมคอยขยับ พอเบือนหงับก็ไปเงียบไม่ทันเงย ตยา สทิโส เจ้าข้าเอ่ยบุคคลผู้ใดเลยในโลกนี้ที่จะเจรจาตลบเลี้ยวลดสดๆ ร้อนๆ เหมือนเจ้าพระยาเวสสันดรชีไพร เป็นว่าหามิได้นี้แล้วแล”

“อันว่าเฒ่าชราทิชาชาติ เมื่อได้รับพระราชทานสองกุมารได้แล้ว เฒ่าใจแกล้วก็ฉุดลากกระชากสองกุมารมา เอกโต พนธิตวา ผูกพันพระพี่น้องสองกระสันเข้าให้มั่นกับมือ ปลายเชือกข้างหนึ่งนั่นถือตามตีต้อนสองบังอรมาต่อหน้าสมเด็จพระบิดาไม่ปราณี”

“เฒ่าชราฉวยได้เรียวไม้ไล่ขบฟัน ฉุดลากกระชากรันด้วยโทโส อากฑฒนโต เสมือนหนึ่งจะเชือดเนื้อหนังกินเสียทั้งเป็นเห็นเวทนา เข้าฉุดคร่าพาลากสำรากขู่ ว่าดูดู๋เด็กน้อยๆ ทั้งคู่นี่รู้แต่ว่าจะหนี ครั้นพราหมณ์ตีสิว่าพราหมณ์ร้าย เอ็งสิมาร้ายไปก่อนพราหมณ์นั้นไม่ว่า ตะแกก็เหลียวมาตีพระชาลีเข้าต้ำผาง แล้วก็เลี้ยวมาตีนางกัณหาให้ร้องอยู่กรี๊ดกรี๊ดกวีดกวาดดูเวทนา”



แหล่งอ้างอิง : วรรณสารวิจักษณ์ กรมวิชาการ

โดย : นาง ศิริพันธ์ พัฒรชนม์, โรงเรียนราชวินิต มัธยม, วันที่ 10 กันยายน 2545