ตาเหลวตกปลาไหล

ตาเหลวตกปลาไหล

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งชื่อนายเหลว แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า ตาเหลวจนติดปาก แกมีอาชีพทางตกเบ็ดหาปลาเลี้ยงครอบครัว ฝีมือในการตกเบ็ดของแกเป็นที่ขึ้นชื่อมาก เพราะขณะที่ใครๆตกเบ็ดไม่ได้ปลาสักตัว ตาเหลวคนเดียวที่ต้องได้ปลาตัวใหญ่ๆเสมอ ใครๆจึงยกนิ้วให้แกเพราะแกมีความชำนาญในการตกปลามาก
วันหนึ่ง แกนึกอยากจะไปตกเบ็ดที่หนองน้ำแห่งหนึ่ง แต่หนองน้ำนี้ค่อนข้างลึก แกไม่มีเรือที่จะไปลอยลำตกปลา แกจึงไปยืมเรือเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เป็นเรือมาดขนาด 3 วากำลังเหมาะ เพื่อนบ้านก็ดีใจให้แกยืม และตกลงกันว่าจะส่งเรือคืนตามกำหนด ครั้นแล้วแกก็เตรียมเบ็ดเตรียมเหยื่อและภาชนะสำหรับใส่ปลาที่ตกได้อย่างพร้อมสรรพ แกพายเรือออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ จนกระทั้งถึงหนองน้ำลึกที่แกตั้งใจ แกเห็นปลาดำผุดดำวายอยู่ข้างเรือมากมายแกไม่รอช้าเหวี่ยงเบ็ดลงไปหมายจะให้ปลาติดเบ็ด แต่อนิจจา! ตั้งแต่เช้าจนสายปลาที่ว่ายเวียนวนไปมาอยู่นั้นก็ไม่มีสักตัวที่จะกินเหยื่อของแก
ขณะที่แดดชักแรงกล้า ตาเหลวรู้สึกร้อนและเหนื่อยอ่อน แกจึงค่อยๆวาดหัวเรือเข้าหาริมฝั่งที่มีต้นไม้ใหญ่ เพื่อพักสักครู่หนึ่ง แกเอาเบ็ดผูกเข้ากับกระทงเรือเผื่อเวลาผลากินเบ็ดจะได้ไม่ดึงคันเบ็ดลงน้ำไป ด้วยความเหนื่อยอ่อนแกจึงเคลิ้มหลับไปงีบหนึ่ง แต่แล้วแกก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะมีความรู้สึกว่าเรือโคลงไปมา แกเห็นสายเบ็ดไหวๆ อยู่ในน้ำเหมือนกับถูกตึงอย่างแรงลงในน้ำจนหัวเรือค่อยๆจนท้ายเรือโด่ขึ้นมา ตาเหลวรู้แล้วว่าปลาที่กินเบ็ดแกขนาดนี้ต้องตัวใหญ่กว่าปกติหลายเท่า แกพยายามออกแรงดึงคันเบ็ดสู้กับมันปากก็ตะโกนร้องให้คนช่วย ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงร้องของแก ก็รีบวิ่งมาแล้วช่วยกันดึงคันเบ็ดลากขึ้นบนฝั่ง ทุกคนตาโตด้วยความตื่นใจ เพราะปลาที่กินเบ็ดของตาเหลวนั้น คือ ผลาไหลตัวมหึมา แล้วเพื่อนบ้านก็ช่วยลากปลาไหลขึ้นฝั่ง จัดแจงกู้เรือที่จมน้ำขึ้นได้แล้ว ก็ช่วยกันหามปลาไหลใส่เรือให้ตาเหลวพายกลับบ้าน
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง ตาเหลวก็ของยืมเรือลำเดิมจากเพื่อนบ้าน เอาปลาไหลที่ตัดแบ่งเป็นท่อนๆบรรทุกลงเรือเพื่อนำไปแลกข้าวทางหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เพราะว่าหมู่บ้านโน้นมีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ดีกว่าทางบ้านของตาเหลว ตรงกันข้ามกับปลาที่ไม่ค่อยจะมีกินสักเท่าไร ตาเหลวพายเรือขึ้นไปทางบ้านดอนนำปลาไหลไปแลกข้าวได้ถึง 1 เกวียนกับอีก 1 บั่น จากนั้นแกก็พายเรือล่องมาตามลำคลองเพื่อจะกลับบ้าน ขณะนั้นเวลาเย็นมากแล้ว แกรู้สึกหิวข้าม จึงคิดที่จะจอดเรือหุงข้าวกินสักหน่อย แต่แกมีแต่ฟืน หม้อข้าว ข้าวสารเท่านั้น ไม้ขีดไปที่เตรียมไปด้วยแกก็มวลบุหรี่สูบจนหมดไปแล้ว ไม่เหลือไม้ขีดสักก้านเดียว ขณะนั้นความมืดก็เข้ามาเยือนแล้ว สองฟากฝั่งมือสนิท อาศัยแต่เพียงแสงจันทร์ส่องผิวน้ำนำทางให้เท่านั้น
ตาเหลวพายเรือไปเรื่อยๆสายตาก็พยายามสอดส่ายหาดวงไฟที่จะใช้เป็นเชื่อติดไฟหุงข้าว ขณะนั้นเอง แกพายเรือมาถึงดงต้นยาง เห็นดวงไฟสองดวงส่องแสงแวววาวอยู่ในต้นยาง ตาเหลวดีใจคิดว่าคราวนี้ละแกได้เชื้อไฟติดไฟหุงข้าวแล้ว แต่แกหารู้ไม่ว่า ดวงไฟเล็กๆคู่นั้น เป็นดวงตาของเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่ง ที่กำลังนอนรอเหยื่อลงมากินน้ำริมคลอง ตาเหลววาดหัวเรือเข้าไปจอดที่ต้นยาง ด้วยความมืดแกจึงผูกโซ่เรือไว้กับหางเสือที่ทอดยาวมาโอบต้นยางไว้ เพราะแกคิดว่าเป็นรากของต้นยาง เสือลาดพาดกลอนตัวนั้นก็นอนนิ่งเฉย เพราะตกตะลึงในการกระทำของตาเหลว จากนั้นแกก็คว้าไต้เข้าไปจ่อที่ตาเสือข้างซ้ายที่ ขวาที ไต้ก็ไม่ติด ด้วยความโมโหแกจึงเอาไต้ทิ่มเข้าไปโดยแรง หวังจะให้ไฟ เสือตัวนั้นตกใจมากกระโดผลุงอย่างแรงเข้าป่าไป หางเสือที่ผูกติดกับโซ่เรือก็ลากเอาเรือขึ้นฝังไปด้วย ทำให้เรือยืดออกไปอีก 2 ศอก ตาเหลวแกไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น อารามตกใจแกจึงยึดเรือไว้แน่น เสือลายพาดกลอนตัวนั้นวิ่งหนีไปแล้ว เรือก็ขึ้นไปอยู่บนฝั่งจะออกแรงเข็นเท่าไรก็ไม่เขยื้อน ด้วยความอ่อนเพลียประกอบกับไม่ได้กิยนข้าวแกจึงนอนหลับอยู่ในเรือทั้งคือ
ครั้งรุ่งเช้า ตาเหลวตื่นขึ้นมา แกก็เลยเดินเข้าไปในป่าใกล้ๆ หาผลหมากรากไม้กินพอประทังชีวิต เมื่ออิ่มแล้วแกจึงเดินกลับมาที่เรือ ครั้งแล้วตาเหลวก็ต้องโมโหเดือดดาลอีกครั้ง เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้า ฝูงไก่ป่ากำลังจิกกินข้าวในลำเรือของแกอย่างเอร็ดอร่อย ตาเหลวคว้ากิ่งไม้ได้วิ่งไล่ไก่ป่าฝูงนั้นกระเจิงไป จากนั้นแกก็มาสำรวจดูข้าวในเรือ แล้วแกก็พบว่ามันเหลืออยู่นิดเดียว
ตาเหลวนั่งคิดวิธีจับไก่ป่าฝูงนั้นให้ได้ และทำอย่างไรแกจึงจะเข็นเรือที่เกยอยู่บนฝั่งลงน้ำได้สำเร็จ แกนั่งคิดไปคิดมากก็ออก ตาเหลวคิดวิธีดักไก่ปลาได้แล้ว วันนั้นทั้งวันแกต้องเสียเวลาไปตัดหวายในป่ามาถักเป็นบ่วงจับสัตว์ได้หลายอัน แกเอาบวงวางไว้ในเรือที่มีข้าวเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ปลายสายบ่วงผูกติดกับกระทงเรือ เพราะแกต้องหาวิธีทำให้เรือเคลื่อนลงน้ำด้วย จากนั้นแกก็นอนซุ่มรออยู่ใกล้ๆ จนกระทั้งเช้าจึงออกจากที่ซุ่ม ส่งเสียงโห่ร้องขับไล่ไก่ป่า ไก่ป่าตกใจจึงพร้อมกันบินขึ้นทั้งฝูงไปทางลำคลอง ทั้งๆที่ขาติดบ่วงที่ตาเหลวดักไว้ ด้วยแรงบินอย่างพร้อมเพรียงของไก่ป่าทำให้เรือที่เกยอยู่ที่ฝังค่อยๆเคลื่อนลงสู่คลองได้สำเร็จ ตาเหลวดีใจมาก รีบกระโดดลงเรือแล้วจับไก่ป่าฟาดหัวทีละตัวจนตายหมดทั้งฝูง จากนั้นแกก็จับถอนขน ผ่าทอง ฉีกกระเพาะไก่ออก เอาข้าวใส่เรือ ปรากฏว่าแกได้ข้าวเพิ่มขึ้นอีก 1 บั่น เพราะไก่ป่าเหล่านี้ได้ไปกินข้าวจากที่อื่นมาก่อน ตาเหลวจึงโชคดีได้ข้าวเพิ่มเป็น 2 เกวียน ตาเหลวพายเรือกลับบ้านด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แกคิดว่ากลับไปนี่แกคงมีเรื่องเล่าให้เพื่อนบ้านฟังถึงวีรกรรมของแกอีกเรื่องหนึ่งแล้ว เมื่อมาถึงบ้าน ตาเหลวก็ขนข้าวเข้ายุ้งเรียบร้อยแล้ว จึงบอกให้ภรรยาเขาเรือไปคืนทิดมาก แต่เมื่อภรรยาของตาเหลวนำเรือกับไปคืนทิดมาก ทิดมากเห็นเรือของตนยาวออกไปอีก 2 ศอก จึงต่อว่าภรรยาตาเหลวที่ยืมเรือของตนไปแล้วกับเอาเรือของคนอื่นมาคืน ภรรยาของตาเหลวจึงพายเรือกับบ้านด้วยความขัดเคืองใจที่ถูกต่อว่า
ขณะที่พายเรือมาถึงครึ่งทาง ก็เกิดพายุจัดพัดฝุ่นฟุ้งตลบจนมองไม่เห็นทาง ภรรยาตาเหลวก็หลับหูหลับตาพายไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ขณะนั้นเองเรือก็พุ่งไปชนเอาตลิ่งโครมใหญ่ เรือลำนั้นที่เคยยืดยาวออกไป 2 ศอกก็กลับหดสั้นลงไปเหลือเท่าเดิม เมื่อพายุสงบภรรยาตาเหลวก็พายเรือมาถึงบ้าน แล้วเล่าความให้ตาเหลวฟังเรื่องที่เจ้าของเรือไม่ยอมรับคืนเรือ ตาเหลวจึงพายเรือกลับมาส่งให้เจ้าของเอง คราวนี้เจ้าของเรือสำรวจดู เห็นว่าเรือมีขนาดเท่าเดิมแล้ว จึงรับไว้อย่างไม่ว่าอะไร

ผจงวาด กมลเสรีรัตน์. นิทานพื้นบ้านภาคกลาง.กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น, 2543



โดย : นางสาว Laddawan Meegul, คลองหลวง ปทุมธานี 13180, วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2545