นิทานท้องถิ่นลับแล

ตำนานวัดพระแท่นศิลาอาสน์

พระครูสถิตพุทธคุณ ผู้เล่า (ตำบลทุ่งยั้ง)

           ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์สร้างพระบารมีที่เขาซอกนอกเมืองทุ่งยั้ง ซึ่งมีพระปักกุฏสุมโพธิ พระโกนาดม พระกัสสปะ สมณโคดม พระศรีอริยะเมตตรัย ตำนานประวัติเล่าย่อ ๆ ว่า พระยา กาเผือกได้ทำรวงรังอยู่ที่ต้นมะเดื่ออุทุมพร แล้วเกิดพายุฟ้าคะนอง ได้พัดเอาไข่ทั้ง ๕ ฟอง ล่องลอยไปตามกระแสชลธารไป ครั้งแรกนั้น โกบุกสมโพธิ แม่ไก่ได้ไข่ไปฟองหนึ่ง (โกบุกสมโพธิ แปลว่า แม่ไก่ โกนาคม แปลว่า แม่นาค) กะระโปะแม่เฒ่า โคตะมะหรือโคดมนั้น แม่โคศุภราช แม่ราชสีห์ได้ไปคนละฟอง ๆ แม่ไก่ฟองหนึ่ง แม่นาคฟองหนึ่ง แม่เฒ่าฟองหนึ่ง แม่โคศุภราชฟองหนึ่ง แล้วแม่ราชสีห์ได้ฟองหนึ่ง ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง ก็กระเทาะออกจากไข่นั้นเป็นบุรุษร่างงามโสภาทั้ง ๕ คน ต่อมามารดาเลี้ยงจึงให้นามว่า คนแรกนั้น โคบุกสมโพธิ คนที่สอง โคนาดม คนที่สามชื่อ มัตโก คนที่สี่ชื่อ โกนาคมโน คนที่ห้าชื่อ ศรีอริยเมตตรัย แม่ฝากนามไว้ให้ชื่ออย่างนี้ และบอกว่า ท่านเป็นมนุษย์แล้วก็ไปอยู่เมืองมนุษย์ แม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน แม่เป็นแม่เลี้ยงตามไข่มาจากชลธาร แล้วก็อุปการะให้ความอบอุ่น แล้วก็มาเป็นหนุ่มงามโสภา ขอให้เจ้าอยู่ในดินแดนมนุษย์เถิด

             ท่านทั้งห้าคนนั้นก็มาอยู่ในแดนมนุษย์ มีรูปงามบริสุทธิ์โสภา อายุมากแล้วพอจำความได้เรียกว่าอายุบรรลุนิติภาวะหรือไง ๑๖ ปี เพราะท่านทั้งห้ามีจิตใจสูง เป็นเหล่าพุทธภูมิ ถือศีลธรรม ประเพณีธรรมอย่างเคร่งครัด มีความรู้ล่วงล้ำสามัญชน มีบารมียิ่งกว่าคนธรรมดา ต่างคนก็ต่างมาจำศีลที่เขาซอก นอกเมืองทุ่งยั้งทั้ง ๕ ท่าน ทั้งท่านมลกุฏสมโพธิ โกนาคม กัสสปะ สมณโคดม และพระศรีอริยเมตตรัย โดยมาคนละหนคนละแห่ง เพราะอยู่คนละแห่ง แล้วมาพบกันที่เขาซอกนอกเมืองทุ่งยั้งนี้ แล้วถามว่าอยู่เพื่ออะไร ต่างคนต่างบอกกันว่าต้องการพุทธภูมิ แล้วสัญญากันว่าถ้าผู้ใด ตรัสรู้เป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วจะมาประทับยับยั้งที่พระแท่นศิลาอาสน์แห่งนี้ ต่อมาพระปักกุฏสมโพธิ ตรัสรู้พระพุทธเจ้า ก็มาประทับยับยั้งที่พระแท่นศิลาอาสน์ ก็เลยตรัสบัณฑูรธรรมโปรดเวไนยสัตว์ที่นี่ พระโกนาคม ก็มาเช่นเดียวกัน พระกัสสปะ พระสมณโคดมก็มาอีก แต่พระศรีอริยเมตตรัย จนบัดนี้ยังไม่ได้ตรัสรู้ แต่จะตรัสรู้ในอนาคตกาลข้างหน้านี้

               ต่อมาในสมัยที่ทุ่งยั้งคือเมืองกัมโพชนคร มีพรานชาวทุ่งยั้งคนหนึ่งได้ออกไปล่าสัตว์ในป่า โดยปรกติบริเวณป่าแห่งนี้จะมีสัตว์ป่าน้อยใหญ่อุดมสมบูรณ์ แต่วันนั้นนายพรานมองไม่เห็นสัตว์ใหญ่แม้แต่ตัวเดียว จึงเดินลัดเลาะเขาไปยังบริเวณ เขาซอก (วัดพระแท่นศิลาอาสน์ปัจจุบัน) ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเป็นเวลามืดค่ำแล้ว นายพรานจึงล้มตัวลงนอนพักผ่อน หัวหนุนก้อนศิลาก้อนหนึ่งแล้วหลับไป ตกดึกนายพรานก็นิมิตฝันไปว่า เทวดาได้มาเล่าความเป็นมาของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เกี่ยวกับพระพุทธองค์ตามเรื่องราวข้างต้น พร้อมกับบอกให้นายพรานออกไปล่าสัตว์ที่อื่น นายพรานตกใจตื่นก็คิดว่าตนเองฝันไป จึงล้มตัวลงนอนหลับต่อ ทันใดนั้นเทวดาก็ปรากฏกายให้เห็น แล้วแสดงอิทธิฤทธิ์ขับไล่ให้นายพรานเอาเครื่องมือประหารของตนเองไปให้พ้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ นายพรานตกใจมาก จึงวิ่งหนีไปหาฤาษีผู้ทรงศีลตนหนึ่ง ฤาษีจึงให้นายพรานนำทางไปดู ก็ทราบด้วยญาณอันแก่กล้าว่า เขาซอกแห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์จริง จึงนำความไปกราบทูลเจ้าเมืองกัมโพชนคร เจ้าเมืองกัมโพชนครและประชาชนจากทั่วทุกสารทิศต่างมา กราบไหว้บูชาแท่นศิลาด้วยความเคารพศรัทธา และจัดให้มีงานประเพณีนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์เป็นประจำทุกปีและสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน.

โดย  นางคุณากร  ธรรมสรางกูร วันที่  ๖  ธันวาคม  ๒๕๔๖

ที่มา : พระครูสถิตพุทธคุณ - เจ้าอาวาสวัดพระยืนพุทธบาทยุยล (ตำบลทุ่งยั้ง) ผู้เล่า

โดย : นาง คุณากร ธรรมสรางกูร, โรงเรียนลับแลศรีวิทยา, วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546