เรฟูจี
ท้องฟ้ากว้างกลางน้ำเรือลำน้อยล่องไป
ลอยล่องไป ล่องไป ถอยไปถอยห่างแผ่นดิน
ดินแผ่นดินถิ่นฐานตัวเอง
โดนละเลงสงครามเสียจนสิ้นแผ่นดิน
เวิ้งกว้างกลางทางขวัญชีวันนั้นมืดมน
ทนทุกข์ทนทุกข์ทน สู้ต่อไป
ไกลห่างไกลสุดสายตา
ลอยล่องในนาวาถึงคราไร้แผ่นดิน
ดินถิ่นเดิมลุกร้อนดังไฟแผดเผา
ฟืนสุมเตาเจ้าคงเจ้าเคยยัดใส่เตา
คราวผู้นบนพื้นดินเดิมปากหมอง
ไยไม่มองไม่แลเห็นแก่ตัว
กินมีเหลือเผื่อแผ่กันวันนั้น
วันนี้คงไม่ต้องล่องเรือ
เกลือจิ้มเกลือเหลือเพียงเรือล่องมา
มาเข้ามา เข้ามา เรฟูจี
เวิ้งฟ้ากว้างกลางน้ำเรือลำน้อยล่องมา
มาล่องมา เข้ามา เข้ามาหาแผ่นดิน
ดินถิ่นนี้มีแต่น้ำตา
มีเหลือวันเวลาถ้ามาเพื่อดับไฟ
เนื้อหาของบทเพลงเรฟูจีนั้นอาจจะแหวกแนวไปจากบทเพลงส่วนใหญ่ซึ่งเน้นการสะท้อนชีวิตของคนในสังคมไทย แต่กลับมีใจเผื่อแผ่ไปถึงประเทศเพื่อนบ้านนั้นก็คือ เวียดนาม โดยปกติการต่อต้านสงครามนั้นเป็นแนวคิดประการหนึ่งที่ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตให้ความสนใจกันอยู่แล้ว บทเพลงเรฟูจี นี้ก็เป็ฯการยกตัวอย่างอารมณ์สะเทือนใจที่เป็นผลมาจากสงครามเช่นเดียวกัน
บทเพลง เรฟูจี เริ่มต้นด้วยการมีทำนองเพลงจีน ซึ่งก็เป็นการใช้สัญลักษณ์แทนประเทศเวียดนามที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมจีน จากนั้นจึงเริ่มบรรยายภาพของคนเวียดนามที่ต้องอพยพลี้ภัยเนื่องมาจากผลสงครามในครั้งนั้นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ต้องกลับมารวมประเทศและปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ชาวเวียดนามใต้จำนวนมากจึงพากันอพยพลงเรือเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่รวมทั้งประเทศไทยด้วย การล่องเรือออกจากบ้านเกิดเป็นความรู้สึกที่อ้างว้างและสิ้นหวัง ซุ่งในที่นี้ศิลปินคาราบาวเริ่มต้นบทเพลงโดยพูดถึงสิ่งที่กว้างใหญ่ คือ ท้องฟ้ากว้างกลางน้ำ แต่สิ่งที่ลอยอยู่นั้นกลับเล็กโดยบรรยายถึงเรือลำน้อยเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่าการอพยพออกนอกประเทศทำให้คนเหล่านี้ขาดที่มั่น และมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆจนกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ลอยอยู่กลางมหหาสมุทรอันกว้างใหญ่ การใช้คำซ้ำว่า ลอยล่องไป ล่องไป ถอยไป ถอยห่างดิน เป็นการใช้คำง่ายๆ แต่ให้เห็นภาพที่ชัดเจน เช่นเดียวกับที่ปรากฎในท่อนที่ 2ของบทเพลง คือ เวิ้งฟ้ากว้างทางขวัญชีวันนั้นมือมน ทนทุกข์ทนสู้ทนสู้ต่อไป