มาเลเซียจัดทำโครงการเพื่อพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศที่พัฒนาภายในปี 2020 ซึ่งประกอบด้วย 7 โครงการ หนึ่งในนั้น คือ Smart School ซึ่งเป็นโครงการด้านการศึกษา มีเป้าหมายหลัก 5 ประการคือ
- สนับสนุนพัฒนาการรอบด้าน ( all-round development ) ของแต่ละบุคคล โดยครอบคลุมด้านสติปัญญา กายภาพ อารมณ์ และจิตใจ
- ให้โอกาสแต่ละบุคคลในการพัฒนาความเข้มแข็ง และความสามารถของตนเองเป็นพิเศษ
- คำนึงถึงความต้องการทางสังคมในการผลิตแรงงานที่มีความคิด ( Thinking Workforce ) มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ( Technological Literate )
- สร้างความเป็นประชาธิปไตยในการศึกษา เช่น เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้เรียนรู้โดยเท่าเทียมกัน
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการการศึกษาทั้งหมด ซึ่งได้แก่ ผู้ปกครอง ชุมชน ภาคเอกชน
เมื่อมองเห็นภาพนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของต่างประเทศแล้ว ลองย้อนกลับมามองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของไทยบ้าง ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามานานแล้วจะเห็นได้จากการที่ กระทรวงศึกษาธิการได้เริ่มจัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2502 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 และสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง 4 ( ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ในปัจจุบัน ) ซึ่งได้จัดผลิตรายการส่งเสริมความรู้ด้านวิชาการ ศิลปวัฒธรรม อาชีพ ฯลฯ สำหรับนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2521 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้จัดรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาขึ้นในรูปแบบการจัดการศึกษาทางไกล ระดับอุดมศึกษาขึ้น ในปี พ.ศ. 2527 2537 ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาโดยอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการได้จัดตั้งศูนย์ผลิตรายการวิดีโอเทปขึ้น เพื่อให้ผลิตรายการโทรทัศน์และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษา เป็นผู้ประสานงานจัดทำร่างแผนแม่บทโครงการพัฒนาโทรทัศน์ และวิดีโอเทปเพื่อการศึกษา ผลิตรายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียมในการจัดการศึกษาทางไกล โดยแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ( ETV ) แพร่ภาพด้วยวสัญญาณในระบบดิจิตอลในย่านความถี่ Ku-Band
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม นโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของไทย ก็เพิ่งจะมีแนวคิดหรือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้วางหลักการที่สำคัญในการใช้โครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศแห่งชาติไว้ในมาตรา 78 ซึ่งบัญญัติว่า รัฐจะต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จึงได้มีกฏหมายการศึกษาแห่งชาติ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษกิจ และสังคม คือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ . 2542 ซึ่งในหมวด 9 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาได้ระบุนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาดังนี้
- นโยบายการจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อการศึกษา
- นโยบายเครือข่ายสารสนเทศเพื่อการศึกษา
- นโยบายการศึกษาตลอดชีวิต
- นโยบายส่งเสริมการผลิตและพัฒนาสื่อสิ่งพิมพ์และซอฟต์แวร์ทางการศึกษา
- นโยบายการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิตและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
- นโยบายการระดมทุนและกฏหมายการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
กฏหมายอีกฉบับที่จะมามีส่วนช่วยสนับสนุนให้นโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดำเนินไปอย่างเป็นระบบ นั่นคือ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ซึ่งกำหนดให้คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดสรร และกำกับดูแล โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม และความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะอื่น รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
จากนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของไทยข้างต้น ครูควรจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างและทำให้เทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตามเจตนารมย์ของ พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 และ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แน่วแน่ในการนำนโยบายการปฏิรูปการศึกษาไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ ภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยถือว่าเป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูปการศึกษาไทย คือการเสริมสร้างศักยภาพของคนไทยให้สามารถดำรงชีวิตในโลกแห่งเทคโนโลยี สารสนเทศควบคู่ไปกับการสงวนรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
ซึ่งการที่ครูจะสามารถสร้าง และทำให้เทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าครูมีความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีกับการเรียนการสอนถ่องแท้หรือยังว่า เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนอย่างไร ? ลักษณะใด ? และอะไรคือเป้าหมายที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้ เช่น
- การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี ได้แก่เรียนรู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทาง Email และ Internet ได้ เป็นต้น
- การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี ได้แก่การเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะบางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น
- การเรียนรู้กับเทคโนโลยี ได้แก่การเรียนรู้ด้วยระบบการสื่อสาร 2 ทาง กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง เป็นต้น
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผู้เขียน เห็นว่าโรงเรียนส่วนมากให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตามข้อ 1เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ ผู้บริหาร ครูผู้สอน เข้าใจไขว้เขว หลงลืมเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนที่แท้จริงก็เป็นได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้อีกต่อไป ก็เป็นที่น่าเสียใจที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียงบประมาณอีกหลายร้อยล้านในปี พ.ศ. 2547 ที่ท่านนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ประกาศเจตนารมย์ว่าจะจัดสรรคอมพิวเตอร์ให้กับทุกโรงเรียนเพื่อให้เด็กไทยได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นเด็กชนบท หรือในเมือง
บรรณานุกรม
ณัฐกร วิทิตานนท์. ( 2546, 10-16 กุมภาพันธ์ ). เสียงหนึ่งจากท้องถิ่นถึงรัฐธรรมนูญ2540,