การนวดไทย หรือบางครั้งเรียกหัตถเวช หรือหัตถศาสตร์ เป็นวิธีการรักษาความเจ็บป่วยที่เก่าแก่วิธีหนึ่งที่รวมอยู่กับการแพทย์แบบดั้งเดิมของไทย มีความเป็นมาอย่างไรไม่มีหลักฐานแน่ที่ชัดแต่เชื่อกันว่าเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย จากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง จนมีหลักในการปฏิบัติและมีวิธีการเฉพาะตัว การนวดไทยเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีการพัฒนามาเป็นลำดับในขณะเดียวกันก็มีการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้จากวัฒนธรรมหลักอื่น ๆ เช่น วัฒนธรรมอินเดีย ดังที่พบว่าเส้นประธานสิบ จำนวน 5 เส้น คือ อิทา ปิงคลา สุมนา กาลทารี และสิกขินี ตรงกับชื่อของทางเดินพลังกุฑาลิณีในโยคะศาสตร์ อีกทั้งฤาษีดัดตนบางท่าก็มีส่วนคล้ายกับอาสนะโยคะ ส่วนการแลกเปลี่ยนกับการแพทย์จีน ทฤษฏีจิงลั่วของจีนอาจมีอิทธิพลต่อหลักของการนวดไทยไม่มากก็น้อย และการถ่ายเทแลกเปลี่ยนศาสตร์และศิลป์การนวดของไทยและจีน อาจมีมาแล้วในประวัติศาสตร์อันยาวนานของทั้งสองชาติ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สึดที่พบคือหลักศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่ป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ. 1800 ได้กล่าวถึงการปลูกสมุนไพรการปรุงยาสมุนไพรและการรักษาโดยการนวด สมัยอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากจดหมายเหตุของราชฑูตลาลูแบร์ประเทศฝรั่งเศสได้บันทึกเรื่องหมอนวดในแผ่นดินสยาม สมัยสมเด็จพระบรมไตยโลกนาถ ปรากฏหลักฐานจากกฏหมายตราสามดวงใน นาพลเรีอน กล่าวถึงการแบ่งส่วนราชการด้านการแพทย์ให้มีกรมหมอนวดซ้ายและขวา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้า ฯ ให้ปฏิสังขรวัดโพธารามและสถาปนาเป็นวัดหลวงให้นามว่าวัดพระเชตุพลวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) รวบรวมความรู้เกี่ยวกับการแพทย์และตำรายาสมุนไพรจารึกไว้รายรอบอุโบสถ และหล่อรูปปั้นดินเผาฤาษีตัดตนไว้ให้ประชาชนศึกษา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็นแหล่งศึกษาการแพทย์แผนไทย และโปรดให้ปั้นรูปฤาษีดัดตนเพิ่มเติมจากรัชสมัยของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจนครบ 80 ท่า พร้อมโปรดให้มีการเขียนโคลงอธิบายว่าท่าฤาษีดัดตนท่าใดแก้โรคอย่างใดและจารึกสรรพวิชาการนวดไทยลงบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดโพธิ์
ในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังคงมีกรมหมอนวดเช่นเดียวกับในสมัยอยุธยา และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดการนวดเป็นที่สุดยามพระองค์เสด็จประพาสแห่งใดจะต้องมีหมอนวดถวายงานทุกครั้งและทรงโปรดให้มีการชำระพระคัมภีร์แพทย์ทั้งมวลให้ถูกต้อง ในปี พ.ศ. 2447 กรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย กรมหมื่นอักษรสาสน์โสภณและหลวงสารประเสริฐได้ชำระตำราการนวดไทยและเรียกตำราฉบับนี้ว่า "ตำราแผนนวดฉบับหลวง" ใช้เรียนในหมู่แพทย์หลวงหรือแพทย์ในราชสำนักต่อมาเมื่อการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาในสังคมไทย การนวดจึงหมดบทบาทจากราชสำนักในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมาฟื้นฟูอีกครั้งในสมัยรัชกาลปัจจุบันเมื่อมีการจัดตั้งอายุรเวชวิทยาลัย (วิทยาลัยสำหรับการแพทย์แผนไทย) ส่วนการนวดกันเองแบบชาวบ้านนั้นยังคงมีการสืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษมาจนถึงปัจจุบัน
|