ก่อนอื่นต้องขออารัมภบทสักหน่อยเพื่อความเข้าใจ  บทความนี้มีที่มาจากงานสัปดาห์ห้องสมุด  โรงเรียนราชวินิต  มัธยม  ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่  28-30  สิงหาคม  2545    แววนักพูดจึงปรากฎขึ้นมาให้เราได้เห็นอย่างเต็มตา  เพราะเขาได้รับรางวัลที่  1 ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากการนำเสนอ  "เรื่องหนังสือเล่มโปรดของฉัน"   ลีลาวันนั้นนับว่าประทับใจผู้ฟังและกรรมการเป็นอย่างยิ่ง  ลองดูสำนวนของเขาก็แล้วกัน  เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับเยาวชนต่อไป

สวัสดีครับผมชื่อเด็กชายปราการ ราษฎร์เจริญสุข เป็นนักเรียนชั้นม.2/5 ครับ วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องหนังสือเล่มโปรดของฉัน ส่วนหนังสือเล่มโปรดของผมคือ นี่ครับ เชื่อว่าหลายๆคนเห็นหน้าปกก็คงรู้กันแล้วนะครับ ว่าเป็นหนังสือของครูเคท และหนังสือนี้คือเรื่อง ฝึกภาษาอังกฤษกันยังไง ทำไมไม่สำเร็จสักที แต่ก่อนที่เราจะมารู้จักกับหนังสือเล่มนี้นะครับ ผมว่าเรามารู้จักกับครูเคทกันก่อนดีกว่า ครูเคทนี่ก็คือคนไทยนั่นแหละนะครับ และเธอก็เรียนที่ประเทศไทยตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรีเลยเชียว และวิธีการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ตอนเธอเรียนอยู่ในประเทศไทยก็เรียนเหมือนพวกเรานั่นแหละครับ เรียนไวยากรณ์ภาษาของเค้าทั้งๆที่ยังพูด-ฟังภาษาของเค้าอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเธอไปต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา เธอจึงรู้ทันทีว่าปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นแล้ว คือเธอไม่สามารถสนทนาโต้ตอบกับฝรั่งได้อย่างคล่องตัว เธอจึงพยายามที่จะหาทางที่จะทำให้เธอนั้นพูดคุยกับฝรั่งได้ เธอก็ลองคิดดูว่า ที่เธอพูดภาษาไทยได้นั้นมันเกิดจากอะไรหละ เมื่อคิดได้แล้วเธอก็ลงมือปฏิบัติทันทีโดยการพูด-ฟัง ภาษาอังกฤษบ่อยๆ พูดตามทีวีบ้างตามวิทยุบ้างให้สำเนียงของเธอนั้นคล้ายเจ้าของภาษามากที่สุด และประกอบกับแวดล้อมที่มีแต่ภาษาอังกฤษด้วย ในที่สุดเธอก็สามารถฟังและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ทางตรง โดยไม่ต้องผ่านการแปลไทย และนั่นก็ทำให้ชีวิตในต่างประเทศของเธอนั้นมีความสุข ไม่ต้องกังวลเรื่องความต่างกันระหว่างภาษาอีกต่อไป หลังจากนั้น เมื่อเธอกลับมาเมืองไทย และได้เขียนหนังสือเล่าประสบการณ์การเรียนรู้ของเธอแล้ว เมื่อผมอ่าน ผมรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ เป็นไปได้แน่ถ้าเราตั้งใจและหมั่นฝึกซ้อมตามวิธีที่เธอสอนถึงแม้แวดล้อมส่วนใหญ่จะไม่ใช่ภาษาอังกฤษก็ตาม เราก็สามารถสร้างแวดล้อมเองได้ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมจึงชอบเล่มนี้เพราะหนังสือของครูเคท มีเป็นชุด 4 เล่มแล้ว เพราะว่าเล่มที่ 3 หรือฝึกภาษาอังกฤษกันยังไง ทำไมไม่สำเร็จซักทีนี้ เสมือนกับหนังสือสรุปวิธีการสอนของเธออย่างรวบรัด เรียบง่าย และน่าจะได้ผลดีด้วย นอกจากนั้นครูเคทยังมีวิธีการเขียนหนังสือที่มีเสน่ห์อีกต่างหาก คือ มีการแทรกมุขตลกไว้ด้วย ทำให้ผู้ที่อ่านจะต้องชอบ และจะไม่หลับคาหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน ถึงขนาดวางหนังสือเล่มนี้ไม่ลงทีเดียว และอีกอย่างที่หนังสือเล่มอื่นๆของครูเคทไม่มี แต่เล่ม 3 มีก็คือกลเม็ดเคล็ดลับเสริมอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษนั่นเอง เช่น การใช้ดิกชันนารี บางคนอาจจะคิดว่า จะอ่านไปทำไมเพราะว่าแทบทุกคนก็ใช้ดิกชันนารีไทย-อังกฤษ,อังกฤษ-ไทยเป็นหมด แต่ดิกชันนารีที่เธอแนะนำนี้ เป็นดิกชันนารี อังกฤษ-อังกฤษครับ เธอบอกว่าการใช้ดิกชันนารี อังกฤษ-อังกฤษนั้น จะไม่ต้องผ่านการแปลภาษาไทย ซึ่งครูเคทเขียนไว้ในหนังสือว่าถ้าหากเราฝึกภาษาอังกฤษตามวิธีของเธออยู่นั้นแล้วมีภาษาที่ 2 ที่เราพูดได้แล้วเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดเวลา จะทำให้เราฝึกไม่ได้ผล เพราะสมองจะไม่ได้รับข้อมูลของภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่จะได้ข้อมูลของภาษาอื่นด้วย ซึ่งผมยอมรับว่าผมเชื่อถือเธอในหลักข้อนี้เป็นอย่างมากหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ดังนั้นผมจึงขอสรุปวิธีการเรียนภาษาอังกฤษของเธอคร่าวๆดังนี้

3. ปฏิบัติตามข้อที่ 1 และข้อที่ 2 ทุกวัน อย่าให้ขาดถ้าไม่จำเป็น และเมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาหนึ่งเราก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องแปลผ่านภาษาที่ 2

และนี่ก็คือวิธีการฝึกภาษาอังกฤษแบบครูเคทอย่างคร่าวๆเท่านั้น ใครอยากศึกษาเพิ่มเติมก็สามารถซื้อหาอ่านหรืออ่านในห้องสมุดแห่งนี้ได้ สุดท้ายนี้ก่อนที่ผมจะไป ผมก็อยากจะบอกว่า หนังสือนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นแหล่งความรู้ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง การที่เรารู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์โดยการอ่านหนังสือนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ก็ลองอ่านดูซิครับ แล้วคุณจะรู้สึกสนุกจนวางไม่ลงเลยทีเดียว ขอบคุณครับ

     เป็นอย่างไรบ้างคะเมื่ออ่านสำนวนการพูดของเขาแล้ว  คงไม่ต้องบอกว่าแน่จริงๆ  เสียดายที่ท่านไม่ได้ฟังลีลาการพูดของเขาด้วยหูของท่านเอง  หากต้องการฟังจริงๆละก็เชิญท่านที่โรงเรียนนะคะ  ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ