ในบางพื้นที่ของประเทศไทย จะพบเห็นว่ามีจอมปลวกมาก ดังนั้นก่อนที่จะทำการเพาะปลูกจะมีการไถทำลาย ถ้าเป็นจอมปลวกที่มีขนาดใหญ่จะเป็นอุปสรรคต่อการเกษตรกรรมที่จะปรับระดับพื้นที่ และหลังจากปรับพื้นที่แล้วดินเหล่านี้ ยังเป็นดินที่ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช ต้องมีการปรับปรุงดินก่อนที่จะทำการปลูกพืช
ดินจอมปลวกจะประกอบด้วยดิน 3 ส่วน คือ ![](javascript:if(confirm('http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000/generality/10000-6786/Tny042.GIF \n\nThis file was not retrieved by Teleport Pro, because the server reports that this file cannot be found. \n\nDo you want to open it from the server?'))window.location='../../../../../../www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000/generality/10000-6786/Tny042.GIF')
1. ดินบนจอมปลวก
2. ดินฐานจอมปลวก
3. ดินรอบจอมปลวก
ซึ่งดินเหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างกัน คือ
ดินบนจอมปลวกและดินฐานจอมปลวก มีปริมาณอินทรียวัตถุและธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชมากกว่าดินรอบจอมปลวก แต่ดินที่บนและฐานจอมปลวกจะมีความหนาแน่นมาก ดินจะแน่นทึบ และมีการซึมน้ำที่เลว ทำให้อุ้มน้ำได้น้อยเมื่อได้รับน้ำแต่ละครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าดินบนจอมปลวกและดินที่ฐานจอมปลวกไม่แน่นทึบ และได้รับการไถพรวนที่ดี และพืชได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ดินบริเวณนี้จะมีความสามารถให้ผลผลิตของพืชสูงกว่าดินรอบจอมปลวก
ฉะนั้นก่อนนำดินไปใช้ ควรมีการจัดการในการเตรียมดินเพื่อการเพาะปลูกที่ดี โดยมีการปรับระดับและไถพรวนเพื่อทำลายความแน่นทึบของดินฐานจอมปลวก และไถพรวนคลุกเคล้าให้ดินบนจอมปลวก ดินฐานจอมปลวก และดินชั้นบนรอบๆจอมปลวกเข้ากันได้ดี หรือทำคันกั้นไม่ให้น้ำไหลออกจากบริเวณที่เป็นฐานจอมปลวก นอกจากนี้ปฏิกิริยาของดินจอมปลวกจะสูงกว่าดินปกติ ดังนั้นควรมีการปรับลดระดับความเป็นกรดและด่าง (pH) ด้วย
ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ประโยชน์จากดินจอมปลวกได้ และดินจอมปลวกไม่ใช่ดินไม่ดีอีกต่อไป ถ้าได้รับการจัดการที่ดี
![](10000-6786/Tny003.gif) |