บทความนี้จะกล่าวถึงการคุมกำเนิด เพื่อให้ผู้อ่านนำไปเป็นความรู้ และใช้ประโยชน์ในการคุมกำเนิดโดยอาศัยทฤษฎีและประสบการณ์ของผู้เขียน การเขียนอาจไม่ลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎีมากนัก
การคุมกำเนิดที่มีใช้ในประเทศไทยมีมากมายหลายวิธี แต่จะกล่าวถึงที่ใช้กันมาก ซึ่งได้แก่
1.ยาเม็ดคุมกำเนิด
2.ยาฉีดคุมกำเนิด
3.ยาฝังคุมกำเนิด
4.ห่วงอนามัย
5.ถุงยางอนามัย
ยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นที่นิยมกันมากเนื่องจากหาซื้อได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ในประเทศไทยมียาเม็ดคุมกำเนิดมากมายหลายชนิด
ยาคุมกำเนิดส่วนใหญ่ประกอบด้วยฮอร์โมนสองชนิด คือ
1.เอสโตรเจน
2.โปรเจสโตรเจน
โดยที่มีชนิดและขนาดที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ฉะนั้นการพิจารณาจะใช้ยาคุมกำเนิดในครั้งแรก ควรใช้ยาที่มีขนาดของฮอร์โมนน้อย ๆ ก่อน
การเริ่มรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ให้เริ่มเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือนจนถึงวันที่ห้า แต่สำหรับมารดาหลังคลอดบุตร ให้เริ่มรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดได้ทันทีหลังคลอด 6 สัปดาห์ โดยที่ไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมาก่อน แต่การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดหลังคลอดไม่เหมาะกับมารดาที่ให้นมบุตร เนื่องจากจะมีผลให้น้ำนมน้อยลงทั้งคุณภาพและปริมาณ ในท้องตลาดมียาคุมขายเป็นแผงสองแบบ คือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เหมือนกัน เนื่องจาก 7 เม็ดที่เพิ่มมาไม่ใช่ฮอร์โมนเป็นเพียงวิตามิน ถ้าเป็นแบบ 21 เม็ด เมื่อรับประทานครบเม็ดที่ 21 ก็ต้องหยุด 7 วัน และประจำเดือนจะมาหลังหยุดยาเลย ประจำเดือนจะมาในขณะที่รับประทานยาวิตามินดังกล่าว เริ่มแผงใหม่ทันทีหลังจากรับประทานยาเม็ดสุดท้าย
ถ้าลืมยารับประทานยา 1 เม็ด ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าลืม 2 เม็ด ให้รับประทานควบ 2 ครั้ง แต่ถ้าลืม 3 เม็ด ให้หยุดยา รอจนกว่าประจำเดือนจะมาแล้วเริ่มรับประทานใหม่
ยาฉีดคุมกำเนิด เป็นที่นิยมแพร่หลายเช่นกัน แต่ต้องอาศัยบุคลากรทางการแพทย์ฉีดยาให้ และต้องฉีดทุก 12 สัปดาห์ โดยฉีดได้ในช่วงเดียวกับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดคือ วันแรกถึงวันที่ห้าของรอบประจำเดือน หลังคลอดก็เช่นเดียวกันกับยาเม็ดคุมกำเนิด ต่างกันคือการฉีดยาคุมกำเนิดมารดาสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ ซ้ำยังทำให้ปริมาณน้ำนมมากขึ้นด้วย
ยาฝังคุมกำเนิด ก็เหมือนยาฉีดคุมกำเนิด แต่ออกฤทธิ์นานกว่า คือ 5 ปี ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขกำลังส่งเสริมการคุมกำเนิดแบบนี้ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่คุ้มทุนมาก
ห่วงอนามัย จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความชำนาญใส่ให้ ปัจจุบันห่วงอนามัยเล็กลงมาก ทำให้อาการปวด หรือ ระคายเคืองมีน้อย และยังเพิ่มประสิทธิภาพโดยการใช้โลหะหรือฮอร์โมน ใส่ไว้ในห่วงอนามัย ระยะเวลาที่สามารถใส่ห่วงอนามัย โดยที่มีอาการข้างเคียงน้อย และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีที่สุด คือช่วงที่กำลังมีประจำเดือนหรือหมดประจำเดือนใหม่ ๆ ปัญหาที่พบบ่อยภายหลังจากการใส่ห่วงอนามัยไปแล้วคือ มีอาการปวดก็รักษาด้วยยาแก้ปวด หรือถ้ามีเลือดออกผิดปกติในบางกรณีก็สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนรักษาได้
ถุงยางอนามัย เป็นที่แพร่หลาย สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาและซุปเปอร์มาร์เก็ต บางครั้ง ยังอาจพบเป็นตู้กดอัตโนมัติ
ถุงยางอนามัยในประเทศไทยมี 2 แบบ คือ
1.แบบมีกระเปาะตรงปลาย เพื่อเก็บน้ำอสุจิ
2.แบบไม่มีกระเปาะตรงปลาย
แต่ที่นิยมคือแบบมีกระเปาะ ข้อสำคัญในการใส่ต้องบีบกระเปาะตรงปลายก่อนใส่ เพื่อไล่อากาศมิฉะนั้นจะทำให้ถุงยางอนามัยหลุดตอนปฏิบัติภาระกิจได้ สำหรับที่กล่าวมานี้เป็นเพียงบางส่วนสำหรับการคุมกำเนิด แต่เป็นแบบที่ใช้กันบ่อย หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ
ที่มา น.อ.สันติ ศรีเสริมโชค
skeat56@hotmail.com
|