หาดสวยฟ้าใส

หาดนพรัตน์ธารา
อยู่ห่างจากตัวเมือง 18 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านเรียกว่า "หาดคลองแห้ง" ทั้งนี้เพราะเมื่อนํ้าลง นํ้าคลองที่ไหลลงมาจากภูเขาทางด้านเหนือจะแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายยาวเหยียดทอดลงไปในทะเลบรรจบกับเกาะเขาปากคลอง บริเวณชายหาดมีสถานที่พักของอุทยานฯ บริการแก่นักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ ตู้ ป.ณ. 23 อําเภอ เมืองฯ จังหวัดกระบี่ 81000 หรือที่กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. (02) 561-2920-1

สุสานหอยสี่สิบล้านปี
ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ ห่างจากตัวเมืองกระบี่ประมาณ 17 กิโลเมตร ทะเลหล่อเปลีอกหอยใต้นํ้าจนเป็นเนื้อเดียวกันกลายเป็นแผ่นหินแข็งที่เรียกว่า Shelly Limestone หนาประมาณ 40 เซนติเมตร เมื่อแผ่นดินบริเวณนี้ถูกยกตัวขึ้นสูง ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฎให้เห็นเป็นลานหินกว้างใหญ่ยื่นลงไปในทะเล จากการคํานวณหาอายุทางธรณีวิทยาพบว่าฟอสซิลนี้มีอายุราว 40 ล้านปี ซึ่งมีเพียง 3 แห่งในโลกเท่านั้นคื่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (มลรัฐชิคาโก) ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย

หมู่เกาะพีพี
เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากจังหวัดกระบี่ 40 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างกลางเส้นทางเดินเรือกระบี่-ภูเก็ตประกอบด้วยเกาะสําคัญ 2 เกาะ คือเกาะพีพีและเกาะพีพีดอน

ถํ้าเสด็จ อยู่ในเขตหมู่บ้านหนองกก ตําบลไสไทย ห่างจากตัวเมืองกระบี่ 7 กิโลเมตร ซึ่งถํ้าเสด็จนี้ชาวบ้านตั้งชื่อให้เป็นมงคลนาม เพราะเมื่อปี พ.ศ. 2452 ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งที่ทรงดํารงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรถํ้าแห่งนี้ ชาวบ้านเลยเรียกว่าถํ้าเสด็จ ภายในถํ้ามีหินงอกหินย้อยสวยงาม
ถํ้าเขาผึ้ง อยู่ห่างจากที่ทําการอุทยานญ ประมาณ 3 กิโลเมตร มีทั้งหมด 5 ถํ้าในบริเวณเดียวกัน ภายในถํ้ามีหินงอกหินย้อยที่สวยงามเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น ดอกเห็ด เจดีย์ ม่าน ฯลฯ ผนังถํ้าเป็นสีขาวมีประกายระยิบระยับดูงดงาม
ผู้ประสงค์จะพักแรมในเขตอุทยานฯ ต้องนําเต็นท์ไปเอง รายละเอียดติดต่อกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้
นํ้าตกห้วยสะเด
ตั้งอยู่ห่างจากที่ทําการอุทยาานฯประมาณ 1.2 กิโลเมตร เป็นนํ้าตกจากหน้าผาสูงสวยงามมาก














































































































































































































































โดย : นางสาว เนตรนภา พูดเพราะ, โรงเรียนอรัญประเทศ, วันที่ 25 มีนาคม 2545