มะตูม

พืชสารพัดประโยชน์

     มะตูมเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศในแถบทวีปเอเชีย ได้แก่ อินเดีย ศรีสังกา ไทย โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย ในประเทศไทยสามารถพบต้นมะตูมในป่าธรรมชาติทั่วไปได้แก่ป่าเบญจพรรณ ป่าผสมผลัดใบ ป่าแดง และยังพบบริเวณบ้านหรือในสวนซึ่งชาวบ้านมักนิยมปลูกไว้ มะตูม เป็นพืชตระกูล ส้มมะนาว จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ตามลำต้นมีหนามยาว แข็ง เปลือกนอกมีสีเทาอมขาว มักแตกออกเป็นแผ่นๆ ห้อยย้อยลงมาเปลือกในมีสีเหลือง ใบ เป็นรูปขนนก เรียงสลับกันและมีกลิ่นหอม ดอกมะตูม เป็นดอกช่อสีขาวหรือสีขาวปนเขียว มีกลิ่นหอมไกล ผลมะตูม มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม เปลือกผลมีทั้งหนาแข็งและอ่อนนิ่มสีเปลือกของผลอ่อนจะเป็นสีขาว ส่วนเนื้อผลภายในเป็นสีเหลืองอ่อน ผลมะตูมแก่ เปลือกสีน้ำตาล มีเนื้อผลสีเหลืองทองและมียางข้นเหนียวสีเหลืองใส ซึ่งมีอยู่มากตามช่องระหว่างเนื้อผลกับเมล็ด มะตูม มีสามพันธุ์ พันธุ์ที่หนึ่งมีผลลักษณะรียาวคล้ายไข่ พันธุ์ที่สอง มีผลลักษณะคล้ายแรกแต่เปลือกของผลอ่อนนิ่ม มะตูมพันธุ์นี้นิยมใช้เป็นยาอายุวัฒนะรับประทานเพื่อเจริญอาหารและช่วยบำรุงกำลัง พันธุ์ที่สามเรียกว่า มะตูมไข่ มีผลกลมคล้ายลูกมะขวิด มีขนาดเล็กและเปลือกบาง มะตูมจะออกผลอ่อนในช่วงฤดูฝน ผลสุกในช่วงกลางฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง

ต้นมะตูม เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ที่สุดต้นหนึ่งของฮินดู ซึ่งห้ามตัดโค่น ดังนั้นจึงพบต้นมะตูมปลูกอยู่ทั่วไปในอินเดีย ในประเทศไทยก็มีการใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธีกรรมและพิธีมงคลของไทย เช่นในพิธีอภิเษกสมรส สมรสพระราชทานในพิธีราชาภิเษก ใช้สำหรับประพรมน้ำมนต์ด้วย คนไทยเชื่อกันว่ามะตูมเป็นไม้มงคลนิยมนำไปปลูกในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านซึ้งคงเนื่องมาจากชื่อ มะตูม โดยเทียบเสียงของคำว่าตูม ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ความรุ่งเรืองและความเกรียงไกรซึ่งมะตูมยังเป็นไม้ในพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ นิโครธาราม เขตกบิลพัสดุ์ เช้าวันหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จเข้าไปสู่พระนครกบิลพัสดุ์ เพื่อบิณฑบาต เมื่อเสด็จกลับได้เสด็จเข้าไปยังป่ามหาวันเพื่อทรงพักผ่อนในเวลากลางวันและทรงประทับ ณ โคนต้นมะตูมหนุ่ม

มะตูม นับว่าเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ทุกส่วนตั้งแต่รากจนถึงยอด โดยลำต้นนิยมใช้ทำเกวียน เพลาเกวียน หวีเสนียด หรือเครื่องดนตรี เปลือกของผลซึ่งมีสีเหลือง ใช้ทำสีย้อมผ้าสีเหลือง นอกจากนั้นมะตูมยังสามารถนำไปทำยาสมุนไพรแก้โรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ ราก มีรสฝาด ขื่นเล็กน้อย นำไปต้มแล้วดื่มแก้ไข้ ตัวร้อน ไอ หอบหืด อดอัดแน่นในอก เปลือกรากและเปลือกต้น ใช้รักษาไข้มาเลเรีย ใบใช้บำรุงธาตุช่วยให้เจริญอาหาร ลดอาการหลอดลมอักเสบ ดอก ใช้เป็นยาระบายอ่อน ชวยย่อยอาหารบำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้เสมหะ และเป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถใช้เป็นยาลดความดันโลหิตได้ด้วย

คนไทยนิยมรับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนของมะตูมโดยคนภาคเหนือนำไปเป็นผักแกล้มลาบ คนภาคอีสานรับประทานร่วมกับลาบ ก้อย และแจ่วป่น คนภาคใต้รับประทานกับน้ำพริกและแกงรสจัด

มะตูมดิบมีสารแทนนิน พบมากที่สุดตรงส่วนของเนื้อผลที่อยู่ใกล้เปลือก นอกจากนั้นแล้วสารแทนนินยังมีตามลำต้น เปลือก ใบ และราก สารแทนนินเป็นรสฝาดที่สามารถแก้ท้องเดิน แก้เจ็บคอและล้างแผล เคยมีการวิจัยพบว่าเมื่อนำสารแทนนินซึ่งสกัดจากใบมะตูมไปใช้ทดบองกับหนูขาวที่เป็นโรคเบาหวาน สามารถทำให้หนูขาวนั้นมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทั้งนี้เนื่องจากไปทำให้เกิดการหลั่งของอินซูลีน (ฮอโมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) มากขึ้น

ผลอ่อนมะตูมซึ่งเปลือกเริ่มแข็งพอหั่นได้เป็นแว่นๆ แล้วผึ่งแดดให้แห้ง นำไปคั่วให้มีกลิ่นหอมเมื่อต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเป็นน้ำชาได้หรืออาจเติมน้ำตาลให้มีรสหวานตามต้องการ เป็นน้ำมะตูที่มีกลิ่นหวานเฉพาะตัว ดื่มแล้วชุ่มคอ ชื่นใจ นอกจากนี้นิยมนำผลมะตูมที่เริ่มสุกไปเชื่อมเป็นขนมหวานได้อีกด้วย

ปัจจุบันมีการแปรรูปมะตูมเป็นเครื่องดื่มมะตูมผง ซึ่งสามรถละลายในน้ำร้อน เป็นน้ำมะตูมได้เลย เครื่องดื่มมะตูมผงนี้มีการผสมน้ำตาลลงไปด้วย จึงมีรสหวานและกลิ่นหอมของมะตูม นับว่าสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น มะตูมจึงเป็นผลไม้ที่มากคุณค่าและสารพันประโยชน์


ที่มา : วารสารสวรรค์บนพื้นพิภพ ปีที่18 ฉบับที่198 ประเดือน พฤศจิกายน พ.ศ 2547

โดย : นาย ภาคภูมิ ศรีอนันต์, ร.ร.สวนศรีวิทยา, วันที่ 13 พฤศจิกายน 2547