เดินไปหน้าดีกว่าเต๊ะท่ากับที่
ชีวิตสดใส
 ก้าวเดินแล้วล้มไปข้างหน้าดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่
 มนุษย์ต้องทำงาน เพื่อการดำรงชีวิต เพื่อความสะดวกสบายสำหรับตนเองและครอบครัว ชีวิตนั้นเมื่อยังมีลมปราณอยู่  ก็ต้องดิ้นรนต่อสู้เรื่อยไป ผู้ที่อยู่นิ่งเฉยโดยไม่ทำงานนั้น มีอยู่เพียงไม่กี่จำพวก พวกแรกได้แก่พวกผู้ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวตนเองได้ พิการไปทั้งตัว เช่น เป็นอัมพาตทั้งตัว พวกที่ 2 ได้แก่ พวกที่เกียจคร้านอย่างยิ่ง ในบรรดาคนพิการนั้นจะเห็นได้ว่า มีจำนวนไม่น้อยที่เขาพิการแต่บางส่วนของร่างกาย ส่วนมากแล้วเขาจะพยายามทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่าง เพื่อหาเลี้ยงตนเอง และเพื่อไม่ให้เหงาจนเกินไป การมีงานทำนั้นทำให้มีความสุข มีจิตใจจดจ่อกับงานที่ทำ มีสมาธิดี เพลิดเพลินอารมณ์ ใจคอเบิกบานแจ่มใส ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีอะไรจะทำหรือมีแต่ก็ไม่ยอมทำ จะทำให้จิตใจไม่แจ่มใสเบิกบาน สลดหดหู่ใจอยู่เป็นนิตย์ บางครั้งก็รู้สึกดูถูกดูแคลนตนเองไปเลยก็มี
 ที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่า มนุษย์จะต้องทำงาน ต้องก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง มีคำคม
 ที่กล่าวว่า ก้าวเดินแล้วล้มไปข้างหน้า ดีกว่ายืนเต๊ะท่าอยู่กับที่ ซึ่งก็หมายความว่า เมื่อได้ทำงาน ได้เดินไปข้างหน้านั้นบางครั้งอาจจะมีข้อผิดพลาดบกพร่องบ้าง แต่ก็ยังมีผลงาน ได้มีความสำเร็จบางส่วน ในส่วนที่พลาดพลั้งไป ก็จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง ที่เรียกว่า ผิดเป็นครู แล้วก็หาทางแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในการทำงานครั้งต่อ ๆ ไป ส่วนผู้ที่ไม่ยอมทำอะไรเลยนั้น ไม่ว่าจะเพราะกลัวว่าทำแล้วจะผิด ผิดแล้วจะต้องอับอายขายหน้าผู้อื่น เลยหาทางปลอดภัยไว้ก่อนโดยไม่ยอมคิดที่จะกระทำอะไรเลย ได้แต่ "นั่งเต๊ะท่าอยู่กับที่"  นั้น นาน ๆ เข้า ก็ไม่มีผลงานอะไรปรากฎออกมาให้เห็นเลย แล้วก็คอยแต่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นที่เขาทำงานมาก ๆ ว่างานชิ้นนั้นไม่เห็นจะได้ความอะไร งานชิ้นนี้ก็ไม่ได้ความอีกนั่นแหละ คนประเภทนี้แหละที่ถ่วงความเจริญของสังคมอย่างแท้จริง
  
แหล่งที่มา  จากหนังสือชีวิตสดใส  แนวคิดในการมองโลกอย่างสดชื่น เบิกบาน ทำงานเป็นสุข


แหล่งอ้างอิง : หนังสือชีวิตสดใส

โดย : นางสาว รุ้งดาว โกเมศ, โรงเรียนเมืองชุมพรบ้านเขาถล่ม, วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547