flower
รูปกล้วยไม้มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "orchid" น่าแปลกที่ทั้งในภาษาไทยและอังกฤษต่างก็มีความหมายใกล้เคียงกัน เราเรีย กพืชชนิดนี้ว่า กล้วยไม้ เพราะมีลักษณะคล้ายกล้วย ได้แก่เอื้องต่าง ๆ เช่น เอื้องผึ้ง หรือเอื้องคำ ซึ่งมีมากในแถบภาคเหนือของประเทศ ส่ว นของกล้วยไม้บางตอนมีลักษณะคล้ายผลกล้วยเราเรียกว่า ลำลูกกล้วย
คำ "orchid" นั้น มาจากภาษากรีก หมายความถึงลักษณะโป่งเป็นกระเปาะคล้ายต่อม ชื่อนี้ก็ คงจะได้มาจากการพิจารณาจากลำลูกกล้วยที่เป็ นส่วนของกล้วยบางชนิดเช่นเดียวกัน แต่ลักษณะพื้นฐานทางพฤกษศาสตร์ที่บรรยายลักษณะพืชในวงศ์กล้วยไม้ ได้ยึดถือรายละเอียดต่าง ๆ ของดอกเป็นหลักสำคัญ พันธุ์ไม้ในวงศ์กล้วยไม้ด้วย
กล้วยไม้มีสภาวะความเป็นอยู่ตามธรรมชาติแตกต่างกัน บางชนิดอยู่บนพื้นดิน บางชนิดอยู่บนต้นไม้ และบางชนิดขึ้นอยู่บน< WBR>หินที่มีหินผุและใบไม้ผุ ตกทับถมกันอยู่ ทั้งนี้สุดแล้วแต่ลักษณะและอุปนิสัยของกล้วยไม้แต่ละชนิด ซึ่งจะปรับตัวตามความเหมาะสมกับสภาวะและการเปลี่ยนแปลงตามสภาพต่าง ๆ ของธรรมชาติที่แวดล้อม
กล้วยไม้แต่ละชนิดต่างก็มีลักษณะ และระบบของรากที่เข้ากับสิ่งที่ไปอาศัยพักพิงอยู่อย่างเหมาะสมที่สุด กล้วยไม้ชนิด< WBR>ที่ขึ้นอยู่บนดิน รากจะมีลักษณะเป็นหัวและอวบอิ่มไปด้วยน้ำจึงมีศัพท์เฉพาะที่บรรยายลักษณะของรากเช่นนี้ว่า "อวบน้ ำ" กล้วยไม้ประเภทนี้มีอยู่หลายสกุล เช่น สกุลฮาเบนาเรีย (Habenaria) เพ็คไทลิส (Pecteilis) และ แบรคคีคอไรทิส (Brachycorythis)
เราเรียกกล้วย ไม้ชนิดนี้ว่า กล้วยไม้ดิน ในบ้านเราที่พอจะจัดเข้าประเภทนี้ได้ก็คือ นางอั้ว นางกรวย และท้าวคูลู ซึ่งจะผลิ ดอกในระหว่างกลางถึงปลายฤดูฝนและแต่ละปี เราอาจจะพบกล้วยไม้ประเภทนี้อีกหลายชนิด ขึ้นอยุ่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกอย่างกว้างขวางแม้แต่เขตหนาวเหนือของทวีปยุโรป เช่น ตามหมู่เกาะต่าง ๆ ในทะเลบอลติก
ซึ่งในฤดูหนาวมีหิมะตก ทับถมบนพื้นดินหนามาก และเป็นเวลานานหลายเดือนด้วย แต่กล้วยไม้เหล่านี้ก็คงทนอยู่ได้ เนื่อง จากมีความสามารถพิเศษในการปรับลักษณะของตัวเองให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของฤดูกาลที่ปรากฏเป็นประจำในรอบปีได้ กล่าวคือ เมื่อถึงฤดูที่อากาศหนาวจัดหรือแห้งจัด ต้นและใบที่อยู่เหนือพื้นดินจะแห้งไป คงเหลือแต่หัวฝังตัวอยู่ภายใต้ผิวดิน
ครั้งพอถึง ฤดูที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะเจริญขึ้นมาเป็นต้นและใบ เมื่อเจริญเต็มที่ก็จะผลิดอกและสร้างหัวใหม่ เพื่อเก็บสะสมอาหารไว้ใต้ผิวดินอีก เมื่อหัวใหม่เจริญเต็มที่ส่วนต้น ใบ และดอกเหนือผิวดินก็จะถึงเวลาแห้งเหี่ยวพอดี ส่วนหัวจะพักรอเวลาที่อากาศเหมาะสม ก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่ดังนี้เรื่อยไป
นอกจากกล้วยไม้ดิน ซึ่งมีหัวเป็นที่สะสมอาหารใต้ดินแล้ว ยังมีกล้วยไม้ประเภทไม่มีหัวและชอบขึ้นอยู่บนหินภูเข าที่มีเศษหินผุ และเศษใบไม้ผุทับถมกันอยู่หนาพอสมควร เป็นกล้วยไม้ในสกุลพาฟิโอเพดิลัม (Paphiopedilum) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า กล้วยไม้รองเท้านารี และยังมีบางประเภทซึ่งเกาะอยู่บนคาคบไม้ ซึ่งจะพบได้ในเขตร้อน เช่น กล้วยไม้ในสก ุล แวนดา (Vanda) แคทรียา (Cattleya) และสกุล เดนโดรเบียม (Dendrobium) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าสกุลหวาย
กล้วยไม้ประ เภทนี้จะมีลักษณะแปลกออกไปคือ มีรากใหญ่ ยาว และแตกแขนงรากอย่างโปร่ง ๆ เป็นรากอากาศแม้จะเกาะกับต้นไม้ก็จ ะมีส่วนที่ยาวและห้อยลงมาในอากาศด้วย แต่รากกล้วยไม้สกุลแคทรียา และเดนโดรเบียมมีลักษณะค่อนข้างเล็ก ละเอียดและหนาแน่น ไม่โปร่งอย่างแวนด้า บางตำราจึงแยกกล้วยไม้สกุลแคทรียา และเดนโดรเบียมไปไว้ในประเภทกึ่งอากาศ

ที่มา : www.school.net.th/kanchanapisek.or.th/kp6/book7/chapter1/t7-1m.htm

โดย : เด็กหญิง sirinapa ruaysungnoen, sungnoenschool, วันที่ 29 มกราคม 2547