วันฮาโลวีน

 
                            วันฮาโลวีน
    เดือนพฤศจิกายนในปี ค.ศ.731 พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 3 ทรงเป็นผู้กำหนดให้บรรดา คริสตัง "ฉลองนักบุญทั้งหลาย" วันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งพระองค์ทรงย้ายจากวันฉลองเดิมคือ 13 พฤษภาคม เพื่อจะอุทิศวันนี้แก่วัดนักบุญทั้งหลายอันเป็นวัดน้อยอยู่ในพระมหาวิหารนักบุญเปโตร, กรุงโรม และ "วันฉลองนักบุญทั้งหลาย" 1 พฤศจิกายน ก็แพร่หลายไปทั่วโลกตั้งแต่ปีนั้นเอง พอในปี ค.ศ.998 นักบุญโอดิโล, อธิการอารามแห่งคลุนนี่ ในประเทศฝรั่งเศส ก็ได้เพิ่มเอาวันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวันระลึกถึงบรรดาวิญญาณผู้ล่วงลับทั้งหลาย ดังนั้นพระศาสนจักรคาทอลิกซึ่งมีวันฉลอง "บรรดานักบุญทั้งหลาย" แล้ว ก็ยังมีวันฉลอง "บรรดาผู้ล่วงลับ" ไปแล้วทุกคนติดกัน คือวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายน ตามลำดับ

    ธรรมเนียมชาวไอริช
    แต่บรรดาคริสตังชาวไอริชเป็นพวกแรกที่คิดว่ามีการคิดถึง "นักบุญ", "วิญญาณในไฟชำระ" แต่ไม่มีใครคิดถึงวิญญาณที่เหลือ ซึ่งอาจจะเป็นคนไม่ค่อยดำเนินชีวิตตามความเชื่อ, อาจจะอยู่ในนรก ดังนั้นพวกคริสตังชาวไอริชจึงเริ่มธรรมเนียมตีกระทะและหม้อในเย็นวันสุกดิบ ก่อนจะฉลอง "นักบุญทั้งหลาย" (All Hallow Eve) เพื่อให้ผู้ตายที่ไม่ได้รับความรอดเหล่านั้น รู้ว่า พวกเขาก็ยังมีคนระลึกถึงอยู่ แต่นี่ก็ยังไม่เหมือนงานวัน "ฮาโลวีน" ที่ปัจจุบันกระทำกันอยู่ มันยังรอผสมเข้ากับธรรมเนียมอีกสายหนึ่ง...

    ธรรมเนียมชาวฝรั่งเศส
    ราวศตวรรษที่ 14 หรือ 15, ในประเทศฝรั่งเศส ช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด เป็นฝีตายกันเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดประชากรในทวีปยุโรปหดหายไปครึ่งหนึ่ง บรรดาศิลปินก็จะบรรยายความน่ากลัวของ "ความตายสีดำ" ของโรคระบาดนี้ ด้วยการวาดภาพบนกำแพงสุสานเป็นภาพบรรดาปีศาจเดินนำฝูงชนที่ถูกล่ามโซ่ไว้เป็นแถวยาวเดินลงสู่หลุมฝังศพ ภาพเหล่านี้เรียกว่า "ระบำแห่งความตาย" (Dance of Death) หรือ (The Dance Macabre) บางทีการแสดงออกของระบำความตายก็แสดงได้ด้วยการแต่งชุดเหมือนผู้ตายในวัน "ฉลองนักบุญทั้งหลาย" (1 พฤศจิกายน) ดังนั้นเราจะเห็นว่าคริสตังชาวไอริชระลึกถึงผู้ล่วงลับที่ไม่ได้รับความรอด วันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย (31 ตุลาคม) แต่ไม่ได้แต่งตัวอะไร และคริสตังชาวฝรั่งเศสระลึกถึงความตายอันเกิดจากโรคระบาดโดยการแต่งชุดเหมือนผู้ตายในวันฉลองนักบุญ ทั้งหลาย (1 พฤศจิกายน)

    การรวมธรรมเนียมทั้งสอง
    ที่สุดราวศตวรรษที่ 18 เมื่อคริสตังไอริชและคริสตังฝรั่งเศสที่อพยพ มาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเริ่มสร้างชาติใหม่ๆ พวกเขาได้แต่งงานกัน และก็นำธรรมเนียมทั้งสองมาผสมกันด้วยการแต่งชุดต่างๆ ในวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย จึงเป็นที่มาของวัน "ฮาโลวีน" ในปัจจุบันคือ 31 ตุลาคม

    การปฏิบัติในคืนวัน "ฮาโลวีน"
    พวกเด็กๆ จะสนุกสนานมากในคืนวัน "ฮาโลวีน" เพราะพวกเขาจะได้แต่งตัวเลียนแบบคนตาย เช่น เป็นโจรสลัด, กัปตัน, โครงกระดูก, หญิงในสมัยโบราณ หรือสุดจะคิดค้นกันขึ้นมาอย่างในสมัยปัจจุบัน และก็เดินไปเคาะประตูตามบ้านต่างๆ เพื่อขอขนม, ลูกกวาด ฯลฯ โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกฟักทองล้วงเนื้อออกเพื่อใส่เทียนเข้าวางไว้ และจะมีแสงสว่างออกมาจากรูจมูก, ลูกตาและปากที่เจาะไว้บนลูกฟักทอง ตั้งไว้หน้าบ้าน เด็กๆ จะเคาะประตูและเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตู พวกเขาก็จะร้องทักว่า "Trick or Treat" ซึ่งเด็กๆ ทั่วไปก็เป็นเพียงคำพูดไร้เดียงสา เพื่อพูดตามธรรมเนียมการขอขนม พวกเขาไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของมัน เพราะว่าคำว่า "Trick or Treat" คำนี้ เป็นคำคล้ายคำพูดของพวกบูชาลัทธิปีศาจ ทำนองว่า ทำสนธิสัญญาตกลงกับมันหรือไม่ก็จะมีการล่อลวงเพราะพวกเด็กๆ จะแต่งตัว เป็นผู้ล่วงลับหรือผี ก็มาขู่เจ้าของบ้าน เด็กๆ ไม่เข้าใจความหมาย แท้จริง ก็เลยพูดกันมาตามธรรมเนียม และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่สนุกสนานเท่านั้น พวกเจ้าของบ้านเมื่อเอาขนม, ลูกกวาดออกมาให้แล้ว บางแห่งก็จะมีการร้องเพลงให้แก่บ้านนั้น ซึ่งบางแห่งดั้งเดิมก็จะสวดภาวนาให้แก่เจ้าของบ้าน หรืออุทิศแด่วิญญาณผู้ล่วงลับ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เด็กเสียความรู้สึกกับคำว่า "Trick or Treat" แต่ควรสอนเด็กๆ ว่า ปีศาจซ่อนเร้นอยู่ในรูปภายนอกที่ดูสวยงามคอยหลอกลวงเรา คล้ายมันใส่หน้ากาก หลอกลวงผู้คนเพื่อปิดบังโฉมหน้าแท้จริงของมัน พระคัมภีร์กล่าวว่า "เราทั้งหลายรู้ว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา เราทั้งหลาย รู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย" (1ยน. 5:18-19)

    ธรรมเนียมการขอขนมก็มาจากประเทศอังกฤษอีกธรรมเนียมหนึ่ง คือ ธรรมเนียมวัน "กี ฟอว์เก" อันเป็นวันฉลองต่อต้านพวกคาทอลิกในประเทศอังกฤษ "กี ฟอว์เก" เป็นคนไม่รอบคอบแต่มีหน้าที่ดูแลคลังดินปืน ที่วางแผนจะระเบิดรัฐสภาของอังกฤษ และกษัตริย์เจมส์ ที่ 1 ทรงรู้เข้าเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605, นาย "กี ฟอว์เก" ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ช่วงนี้เองที่บรรดาพวกนึกสนุกก็จะสวมหน้ากากและไปเยี่ยมเยียน บ้านชาวคาทอลิกที่กำลังถูกเบียดเบียนตอนกลางคืนและขอขนมเค้กและเบียร์มาทานกัน วัน "กี ฟอว์เก" มาถึงประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับการตั้งนิคมใหม่ของชาวอังกฤษพวกแรกบนทวีปอเมริกา กษัตริย์เจมส์ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิต แต่ธรรมเนียม ปฏิบัติยังคงสนุกสนานเกินกว่าจะลืมเลือนได้ ที่สุดเพราะวัน "กี ฟอว์เก" ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน ใกล้กับวันฉลองนักบุญทั้งหลาย ก็เลื่อนเอาธรรมเนียมขอขนมตามบ้านตอนกลางคืนมาไว้กับวัน "ฮาโลวีน" พร้อมกับการแต่งตัวแปลกๆ ด้วยเลย

    แม้ว่า การจัดงาน วัน "ฮาโลวีน" ในปัจจุบันจะไม่บ่งถึงต้นตอของที่มาทางความคิด เรื่อง "นักบุญ", และ "ผู้ล่วงลับ" อีกทั้งกลายเป็นงาน "ปาร์ตี้" ทางโลกเต็มตัวไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าหากความสนุกสนานจะมีควบคู่ไปกับชีวิตเราแล้วล่ะก้อ, วัน "ฮาโลวีน" ในฐานะเป็นงานสังสรรค์และเพิ่มสีสันให้กับชีวิตก็ไม่น่ารังเกียจอะไร โดยยังมีความหมายว่า "นรก" มีจริง และ "เราควรจะหลีกเลี่ยงให้ได้", วัน "ฮาโลวีน" น่าจะเตรียมเราให้ระลึกถึงผู้ที่จากเราไปก่อนล่วงหน้าในความเชื่อ, พวกเขาได้อยู่บนสวรรค์ และพวกที่ยังต้องชดใช้โทษบาปในไฟชำระ หากใครบางคนหลีกเลี่ยงงาน "ฮาโลวีน" ไม่ได้จริงๆ หรือมีคนมาทักว่างานนี้จะทำให้เด็กๆ กลับไปบูชาปีศาจ ผมก็แนะนำให้บอกต้นตอการเกิดวัน "ฮาโลวีน" ที่แท้จริงแก่พวกเขา และให้พวกเขาได้รู้จัก รากความเชื่อแท้จริงของคาทอลิกอันเกี่ยวกับความตาย, นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณในไฟชำระอันเป็นความเชื่อสำคัญอันหนึ่งของเรา

    หากเราคริสตังจะจัดงานวันฮาโลวีนการรับวัฒนธรรมจากประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะแผ่มาทางภาพยนตร์, ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต หนังสือและบทเพลง จนกระทั่งลูกหลานรับกระแสงานวัน "ฮาโลวีน" เราผู้เป็นคริสตังและผู้ใหญ่อาจจะถือว่าเป็นการสนุกรื่นเริงในบ้าน, เพื่อนบ้าน, เพื่อนๆ ของลูกๆ ใกล้หูใกล้ตาเราภายในครอบครัว ก็อาจทำได้ ซึ่งไม่ควรปล่อยลูกหลานไปจัดกันเอง หรือไปจัดกันตามสถานที่ต่างๆ เพราะเป็น เวลากลางคืนอีกทั้งเราควบคุมความปลอดภัยไม่ได้ ส่วนครอบครัวใดที่ไม่มีกระแสตะวันตก ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการจัดงานนี้อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติที่เป็นคาทอลิก เมื่อเขาจัดงานวัน "ฮาโลวีน" (31 ตุลาคม) อันเป็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลายนั้น เป็นงานรื่นเริงทางสังคม มิใช่พิธีกรรมคาทอลิก แต่ควรแฝงความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอันเป็นความเชื่อแบบคริสตังเข้าไว้ด้วย และไม่จำเป็นที่เด็กๆ จะต้องแต่งตัวเป็นนักบุญเพียงอย่างเดียว, การแต่งตัวเป็นวิญญาณต่างๆ และตัวละครที่เกี่ยวข้องกับนรก ก็สื่อความหมายดั้งเดิม การระลึกถึงวิญญาณทุกดวงของคริสตังโบราณว่าเราไม่ลืมเขา

    คำว่า "Halloween" มาจากคำของคริสตังคาทอลิกดั้งเดิม คือ เย็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลาย (All Hallow's Day หรือ All Saint's Day) เขาเขียนว่า "Hallow's Evening" (เย็นวันสุกดิบของวันฉลองนักบุญทั้งหลาย) และก็กลายเป็น "Hallow's e'en" จนกลายเป็น "Halloween" ในที่สุด แท้จริงในทางพิธีกรรมคาทอลิกของเรา คริสตังจะมีธรรมเนียมที่พระสงฆ์จะต้องถวายมิสซา 3 มิสซา ในวันระลึกถึงผู้ล่วงลับ นั่นคือ มิสซาเย็นก่อนวันที่ 2 พฤศจิกายน, มิสซารุ่งอรุณวันที่ 2 พฤศจิกายน และมิสซา เช้าหรือสายของวันที่ 2 พฤศจิกายน พระสงฆ์จะถวายมิสซาทั้งสามในวันที่ 2 พฤศจิกายน ทั้ง 3 มิสซาเลยก็ได้ เพียงแต่มิสซาแรกของเย็นก่อนวันที่ 2 ทำให้มีความคล้ายคลึงกับธรรมเนียมโบราณของคริสตังไอริชที่จะคิดถึงผู้ล่วงลับอื่นๆ ก่อนวันฉลองนักบุญทั้งหลายส่วนในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (รวมทั้งบรรดาคริสตังผู้ล่วงลับผู้ที่ได้รับชัยชนะอยู่บนสวรรค์ทุกคน)

    บทละครเล็กๆ น้อยๆ งานวัน "ฮาโลวีน" การแต่งกาย เด็กๆ แต่งตัวเลียนแบบคนอาชีพต่างๆ ที่ล่วงลับไปในอดีต เช่น ชาวตะวันตกก็มักจะแต่งเป็น พระ, ซิสเตอร์, นักบวชในอาราม, กษัตริย์, ราชินี, โจรสลัด, โครงกระดูก, ผี ฯลฯ หากจะแต่งตัว เป็นนักบุญต่างๆ ก็ทำได้แต่ต้องเน้นและสอนเด็กๆ ว่าวันฉลองนักบุญทั้งหลายตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน และนี่เรากำลังร่วมงานปาร์ตี้วันฮาโลวีน, 31 ตุลาคม และควรจะจบงานด้วยการ สวดภาวนาเข้าสู่การฉลองนักบุญ ทั้งหลาย นำมาด้วยเทียน เดินไปยังฉากที่ทำคล้ายสุสาน และมีหินสลักเทียมบนหลุมศพ 4 ก้อน ก้อนแรกสำหรับคนในครอบครัวที่จากไป, ก้อนที่ 2 สำหรับเพื่อนที่จากไป, ก้อนที่ 3 สำหรับบรรดาสมณเพศที่จากไป และก่อนสุดท้ายสำหรับผู้ตายที่ไม่มีใครคิดถึง และวัน "ฮาโลวีน" เป็นวันสุดท้ายของเดือนแม่พระลูกประคำ เราจึงอาจเริ่มด้วยการสวดสายประคำภาคเศร้าโศกหรือกล่าวถึงข้อรำพึงภาคเศร้าโศกทั้ง 5 ข้อ อุทิศแด่ผู้ล่วงลับสั่นกระดิ่งให้ทุกคนคุกเข่า แล้วสวด บทสดุดี 130 หรือบท "จากเหวลึก... ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์" (De Profundis)

    จากเหวลึก ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์ พระสวามี โปรดฟังคำข้าพเจ้า โปรดเอียงพระกรรณสดับฟัง คำอ้อนวอนของข้าพเจ้าหากทรงระลึกถึงความผิดแล้ว พระสวามีเจ้าข้า ใครหนอจะทนไหวแต่พระองค์มีความกรุณายกบาป ก็เพื่อมนุษย์จะได้ปรนนิบัติพระองค์ด้วยความเคารพข้าพเจ้าวางใจในพระสวามี วิญญาณข้าพเจ้าวางใจในวาจาของพระองค์วิญญาณข้าพเจ้าเฝ้าคอยพระ-สวามี ยิ่งเสียกว่าคนยามคอยแสงอรุณยิ่งกว่าคนยามคอยแสงอรุณอีก ขอให้อิสราเอลจงคอยพระสวามีเพราะว่า พระสวามีทรงเมตตากรุณา พระองค์จึงจะไถ่บาปอย่างอุดมสมบูรณ์แล้วพระองค์จะไถ่อิสราเอล ให้สูญสิ้นบาปนี้แล

    ก่อ   ประทานการพักผ่อน ตลอดนิรันดรแก่เขาเถิด พระสวามีเจ้า
    รับ   ขอให้ความสว่างตลอดนิรันดร์ทอแสงมาสู่เขาก่อ ขอให้เขาได้พักผ่อนในสันติภาพเทอญรับ อาแมน

    จากนั้นมีผู้แต่งกายคล้ายวิญญาณ ที่น่าสงสารเดินมาจากไฟชำระ ปรากฏตัวอยู่ที่สุสาน (ฉากที่ทำขึ้น) ขณะนี้อาจจะมีการกล่าวถึงความผิดที่วิญญาณ ได้กระทำเพื่อเตือนใจเด็กๆ ให้เห็นผลของการสูญเสียพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร"จงระลึกว่า วิญญาณในนรกไม่มีพระหรรษทานและวิญญาณในไฟชำระยังไม่สูญเสียพระ-หรรษทานนั้น แต่กำลังชำระตนให้สะอาด อันเนื่องมาจากผลของบาปที่เขาได้กระทำ",บรรดาวิญญาณน่าสงสารอาจใส่ชุดสีเทา ขณะที่วิญญาณที่อยู่ในนรกแต่งชุดสีดำ ทั้งสองพวกปรากฏตัวในเครื่องพันธนาการ บางทีเด็กโตอาจแสดงบทเหล่านี้ หลังจากภาวนาให้ผู้ล่วงลับ, วิญญาณที่น่าสงสาร อาจกล่าวตอบด้วยบทละคร ดังนี้บรรดาวิญญาณพร้อมโซ่พันธนาการ อาจร้องโหยหวนในชุดดำ, เทาเดินออกมาช้าๆ, เจ็บปวด และพูดแบบพร่ำบ่น (เอาไฟฉายฉายไฟไว้ใต้คาง)

    "เด็กๆ ของพระเจ้า, หนูน้อยของพระเจ้า และสมาชิกของพระศาสนจักร อันศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้ามาจากไฟชำระ เพื่อขอคำภาวนาจากพวกท่าน และขอเตือนให้พวกท่านเปลี่ยนแปลง, ปรับปรุงชีวิต ขณะที่ข้าพเจ้ามีชีวิตบนโลก ข้าพเจ้าได้หลงลืมบ้านแท้บนเมืองสวรรค์ บาปของข้าพเจ้าไม่หนักจนทำให้ตกนรกก็จริงแต่เพราะข้าพเจ้ายังมิได้รักพระเป็นเจ้าสุดจิตใจ, สุดวิญญาณและกำลัง ดังนั้นข้าพเจ้ายังต้องรับทรมาน... (อาจร้องโหยหวน) โอ้...ทุกข์ทนที่ข้าพเจ้าต้องรับในไฟชำระนี้ เพื่อชำระล้างความรักและชำระบาป พี่น้องชาย-หญิงในพระกายทิพย์ของพระเยซูเจ้า วันนี้จงเปลี่ยนแปลงชีวิต! จงเชื่อฟังพ่อ แม่ และพระศาสนจักร จงสวดภาวนา, สวดให้มาก!! โดยเฉพาะไปวัดร่วมบูชามิสซา และรับศีลมหาสนิทให้บ่อยๆ, สวดสายประคำ และสวมสายจำพวก ไว้ จงชดใช้โทษบาปของตนและบาปของเพื่อนมนุษย์ ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ โดยทำพลีกรรมและดำเนินชีวิตทุกวันให้เป็นพลีถวาย จงจำไว้ว่าโดยทางไม้กางเขนเท่านั้นที่เราจะเป็นเช่นพระเยซู-เจ้า, พระผู้ไถ่ของเราและสุดท้าย จงรักผู้แทนของพระองค์บนโลกนี้คือสมเด็จพระสันตะปาปาและแม่พระ ข้าพเจ้าจะต้องจากไปเพื่อรับการจองจำชั่วคราวในการทรมาน โอ้...ข้าพเจ้าอยากไปสวรรค์เหลือเกิน (อาจร้องครวญครางอีกครั้งหนึ่ง, ปิดไฟ และหลบหายไปกับความมืด)

    การตกแต่งฉากหากงานปาร์ตี้อยู่ในบ้าน ขอแนะนำให้ทำห้องหนึ่งเป็นฉาก "นรก" และมีป้ายติดไว้หน้าห้องนี้ว่า "จงละทิ้งความหวัง, ทุกคนที่เข้ามาในนี้" มีผ้าปิดประตูและทำเงามืดรูปปีศาจปรากฏบนผ้าผืนนี้ด้วยไฟฉายจากในห้อง ทำเงาให้เท่าขนาดคนจริงมีการเปิดเพลงทำนองลึกลับเป็นบรรยากาศ เพื่อให้เด็กเกรงกลัวนรก, หากจัดนอกบ้าน อาจแขวนรูปปีศาจหรือโครงกระดูกเพื่อให้เด็กๆ ระลึกถึงความตายที่ละทิ้งพระเจ้า

    เครื่องดื่ม
    โดยธรรมเนียมแล้ว วัน "ฮาโลวีน" เป็นวันถือศีล และไม่ดื่มสุราหรืออาหารฟุ่มเฟือย อาจมีโซลเค้ก (Soul Cake) ซึ่งเป็นขนมตามธรรมเนียมดั้งเดิมของงานวัน "ฮาโลวีน", หรืออาหารที่ไม่ใช่เนื้อ และเมื่อได้รับโซลเค้กให้สวดภาวนาแด่ผู้ล่วงลับเป็นการตอบแทน (อย่างไรก็ดี นี่เป็นละครในงานวัน "ฮาโลวีน" ไม่ใช่พิธีกรรม ดังนั้นการจัดงานเลี้ยงในบ้านเราคงจะต้องมีขนม, น้ำ และอาหารเป็นธรรมดา) ลูกฟักทองแกะสลักหน้าผี, แม่มด, แมว, ผีดิบ, ก่อกองไฟ เหล่านี้ไม่มีรากฐานความเชื่อคาทอลิกในงานวัน "ฮาโลวีน" คงเป็นสิ่งที่รับมาจากพิธีกรรมของพวกเซลติกเกี่ยวกับเทพแห่งความตายมารวบรวมวิญญาณคนชั่วช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูเก็บเกี่ยว (31 ตุลาคม) หรือไม่ก็นำมาใส่ไว้ในช่วงปีหลังๆ ยุคสมัยของเรา

    แปลและเรียบเรียงจาก
    "The Catholic Roots of Halloween"
    โดย : คุณพ่อสก๊อต อาร์เชอร์

     



แหล่งอ้างอิง : http://student.siam2you.com/travel/index.asp?thread=halloween2

โดย : เด็กหญิง กมรัตน์ แซ่เฮ้ง, โรงเรียนพนัสพิทยาคาร, วันที่ 17 กันยายน 2546