วิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ โดย. นายประจวบ สุภักดี นักศึกษาปริญญาโท ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา รุ่น 1 สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์
การจัดการเรียนการสอนในยุคปฏิรูปการศึกษา ในปัจจุบันครูทุกคนคงต้องยอมรับสภาพว่าจะต้องปรับบทบาทของตัวเองใหม่ ต้องเป็นคนที่ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ มีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ ต้องเป็นครูมืออาชีพที่จะนำพานักเรียนไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข การใช้กระบวนการวิจัยจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะนำนักเรียนไปสู่จุดหมายนั้นได้ (กองวิจัยทางการศึกษา. 2545 : 1) ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ระบุไว้ในมาตรา 24 (5) ว่าส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ ทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกับสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ และในมาตราที่ 30 ได้ระบุว่าให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา แสดงให้เห็นว่ารัฐได้เห็นความสำคัญและความจำเป็นในการทำวิจัยทางการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาการศึกษาทั่วโลก ครูผู้สอนจึงต้องปรับบทบาทของการวิจัยให้เข้ากับกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ
การวิจัยคืออะไร การวิจัยในชั้นเรียนคืออะไร เป็นคำถามที่ครูในยุคปัจจุบันต้องทราบและต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน (อุทุมพร จามรมาน. 2544 : 1) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การวิจัย คือการแก้ปัญหาแบบใหม่ การหาคำตอบแบบใหม่ โดยวิธีการที่เชื่อถือได้ หรือวิธีการที่ยอมรับในศาสตร์นั้น ๆ การวิจัยในชั้นเรียน คือ การแก้ปัญหานักเรียนบางคน บางเรื่อง เพื่อพัฒนา (ปรับปรุงนักเรียนอ่อน เสริมนักเรียนเก่ง) นักเรียนคนนั้น กลุ่มนั้น เพื่อจะได้เรียนทันเพื่อนกลุ่มใหญ่ หรือได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพของเขา (ระพินทร์ โพธิ์ศรี. 2545 : 3) ให้ความหมายไว้ว่า การวิจัยในชั้นเรียน คือ การดำเนินการวิจัยของครูผู้สอนประจำชั้นหรือรายวิชาที่สอน เพื่อมุ่งแก้ปัญหาด้านการเรียนการสอน ที่มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียน ซึ่งอาจวิจัยโดยครูผู้สอนในแต่ละชั้นเพียงคนเดียว หรือทำร่วมกันเป็นกลุ่ม ทำร่วมกันทั้งโรงเรียนก็ได้ และอาจมีผู้ปกครองมาร่วมทำก็ได้ขึ้นอยู่กับปัญหาการวิจัย และการออกแบบการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียนจะต้องดำเนินการวิจัยควบคู่กับการเรียนการสอนโดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อรักษาระดับคุณภาพและปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของชั้นเรียนและของโรงเรียน งานวิจัยในชั้นเรียนมีขั้นตอนหรือกระบวนการทำงานอย่างไร (ทิศนา แขมมณี,นงลักษณ์ วิรัชชัย. 2546 : 98-101) ได้เขียนขั้นตอนการทำวิจัยในชั้นเรียนไว้โดยใช้หัวข้อว่า เก้าก้าวสู่ความสำเร็จในการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ก้าวที่ 1 การเลือกปัญหาวิจัย - ที่มาของปัญหาวิจัย (ปัญหาจากตัวผู้เรียน ปัญหาที่เกิดระหว่างการจัดการเรียนการสอน ปัญหาที่เกิดจากความต้องการของครู) - เลือกปัญหาที่สำคัญ - เลือกปัญหาที่ไม่สามารถใช้วิธีการเดิมแก้ปัญหาได้ - เลือกปัญหาที่ต่อเนื่อง - เลือกปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ก้าวที่ 2 การวิเคราะห์สภาพปัญหา - สำรวจสภาพหรือลักษณะของปัญหา - เก็บข้อมูลเส้นฐาน(หากทำได้) ก้าวที่ 3 การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา - หาสาเหตุที่หลากหลาย - หาสาเหตุที่สำคัญ ก้าวที่ 4 การหาแนวทางแก้ปัญหา / พัฒนาผการเรียนรู้ - สังเกต วิเคราะห์ เชื่อมโยง - คิดหาวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม - ศึกษาหาความรู้ (อ่าน ฟัง พูดคุย) ก้าวที่ 5 การระบุปัญหาการวิจัย / คำถามวิจัย / วัตถุประสงค์การวิจัย - ระบุให้ชัดเจน - เขียนให้ถูกต้อง ก้าวที่ 6 การวางแผนการดำเนินการแก้ปัญหา / พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน - ศึกษาทำความเข้าใจในวิธีการ / นวัตกรรมที่นำมาใช้ - ระบุวิธีการ / ขั้นตอน ที่จะใช้ในการดำเนินการวิจัยให้ละเอียดและชัดเจน - เก็บข้อมูลเส้นฐาน (หากยังไม่ได้ทำในขั้นตอนที่ 2) ก้าวที่ 7 การลงมือปฏิบัติ เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล - ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนและสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง - ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรับปรุงวิธีการ แก้ไข / แนวปฏิบัติ ก้าวที่ 8 การสรุปผลและอภิปรายผลการวิจัย - แสดงความคิดเห็นว่า การวิจัยได้ผลดี / ไม่ดีเพราะอะไร - ให้ข้อมูลว่าผู้วิจัยได้เรียนรู้หรือได้บทเรียนอะไรบ้าง ตามวัตถุประสงค์การวิจัย (สิ่งที่ค้นพบ ช่วยให้เกิดความเข้าใจ ความกระจ่าง และการขยายความรู้ ความคิด อย่างไร) - ให้ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยต่อเนื่อง ก้าวที่ 9 การสะท้อนความคิดในการวิจัย - แสดงความคิดเห็นว่า การทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งนี้ ครูได้พัฒนาทักษะการวิจัยและความเป็นครูมืออาชีพในด้านใด - ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเผยแพร่ / การแลกเปลี่ยนเรียนรู้รายงานวิจัย และความคิดเห็น - ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทาง หรือผลการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนางานของครู
กระบวนการเรียนรู้คืออะไร
คำถามนี้ก็เช่นเดียวกันที่ครูทุกคนจะต้องตอบให้ได้และชัดเจน (ทิศนา แขมมณี และคณะ. 2544 : 1-3) ให้ความหมายไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้ (Learning process) หมายถึงการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนหรือการใช้วิธีการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ และการเรียนรู้ ในความหมายของผลการเรียนรู้ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจในสาระต่าง ๆ ความสามารถในการกระทำ การใช้ทักษะกระบวนการต่าง ๆ ความถึงความรู้สึกหรือเจตคติอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเรียนรู้ หรืออาจกล่าวได้ว่า การเรียนรู้มีลักษณะเป็นทั้งผลลัพธ์อันเป็นเป้าหมายปลายทาง(ends) และวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย (means) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันและส่งผลกระทบต่อกัน ถ้าบุคคลมีกระบวนการแสวงหาความรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตน บุคคลนั้นย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความรู้ความเข้าใจในสาระหรือกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างกระจ่างถ่องแท้และลึกซึ้ง (ประเวศ วสี. 2542 : ออนไลน์) ได้ให้แนวทางเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ไว้ 10 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 การสังเกต ให้สังเกตในสิ่งที่เห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ผีเสื้อ หรือแม้แต่ในการทำงาน ถ้าใครสังเกตมากก็จะเกิดปัญญามาก
ขั้นที่ 2 การบันทึก คนไทยเป็นชาติพูด ไม่ชอบบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็น แม้แต่ทางการแพทย์ อาการคนไข้จำเป็นต้องบันทึกให้ละเอียด แต่บางครั้งหยิบมาดูมีแต่ชื่อ คราวที่แล้วให้ยาอะไรก็นึกไม่ออก เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน ไม่รู้บันทึกไว้หรือเปล่า ดังนั้นต้องฝึกการบันทึกเราจะฉลาดขึ้น ขั้นที่ 3 การนำเสนอ เมื่อเรียนรู้อะไรมา ต้องฝึกการนำเสนอให้เพื่อนหรือครูได้รู้ ขั้นที่ 4 การฟัง รู้จักฟังคนอื่นจะทำให้ฉลาดขึ้น ฟังมากก็ฉลาดมาก โบราณเรียกว่า "พหูสูตร" ขั้นที่ 5 ปุจฉา-วิสัชนา เพื่อให้เกิดความชัดเจนแจ่มแจ้ง ต้องมีการถาม-ตอบ ถ้าฟังครูโดยไม่ถาม-ตอบ ก็ไม่แจ่มแจ้ง ขั้นที่ 6 การตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม ต้องฝึกให้นักเรียนได้ตั้งคำถาม ซึ่งคำถามมาตรฐาน 4 อย่าง ได้แก่ สิ่งนี้คืออะไร เกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์สำหรับเรื่องอะไร ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนี้ ขั้นที่ 7 การค้นหาคำตอบ ให้เด็กหาคำตอบ เด็กจะสนุกไปค้นหาคำตอบทางอินเตอร์เน็ต ในหนังสือบางครั้งหาไม่เจอเพราะคำตอบจะอยู่ในปากของคนเฒ่าคนแก่ เรียกว่า "มุขปาถะ"ซึ่งมีประสบการณ์มาก แต่ถูกลืม หากให้เด็กไปถามก็จะเกิดความสัมพันธ์กันระหว่างบุคคลด้วย ขั้นที่ 8 การวิจัย เป็นการสร้างความรู้เป็นวิถีชีวิต การที่ไม่เรียนรู้วิจัย ทำให้เสียหายทางเศรษฐกิจ หรือทางการแพทย์ปีละไม่น้อยกว่าแสนล้านบาท ขั้นที่ 9 การเชื่อมโยงให้เกิดปัญญา เมื่อเรียนรู้อะไรมาต้องเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เห็นความจริงทั้งหมดรวมทั้งเห็นตัวเองด้วย ขั้นที่ 10 การเขียน นอกจากการถามแล้ว-ตอบแล้ว การเขียนจะพัฒนาปัญญาได้ดี เพราะการเขียนคือการใช้พลังสมองในการคิด เรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นเรื่องราว เกิดความชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกัน ศ.น.พ.ประเวศ วะสี กล่าวทิ้งท้ายว่า "กระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มจากชีวิตจริง คือ ประสบการณ์ กิจกรรม การทำงาน และนำมาเข้ากระบวนการที่ยกระดับปัญญา ปัญญาก็ไปสู่จริยธรรม" (ปรัชญนันท์ นิลสุข. 2545 : ออนไลน์) กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลส่งผลให้ผู้เรียนมีวิธีการของตนเอง อันเกิดจากสภาวะแวดล้อม บุคลิกภาพ อารมย์และสังคมของแต่ละบุคคล สิ่งที่ผู้เรียนได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนอย่างต่อเนื่องทั้งในห้องเรียนและในชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการในการเรียนรู้ของตนเอง
ครูมืออาชีพเป็นอย่างไร
ครูมืออาชีพ หมายถึง อาชีพที่มีองค์กรวิชาชีพรองรับ ตรวจสอบ วัด ประเมินและรับรองมาตรฐาน นั่นจะทำให้อาชีพนี้มีทั้งเกียรติยศและค่าที่ประเมินได้เพื่อแลกเปลี่ยนต่อค่าครองชีพของพวกเขา ไม่ได้ประเมินจากเอกสารใดๆ แต่ประเมินจากผลผลิตของพวกเขาเทียบวัดกับมาตรฐานที่ควรจะเป็น ชุมชนที่ต้องการให้มาตรฐานการศึกษาของชุมชนเขาดีย่อมแสวงหาครูมืออาชีพที่มีมาตรฐานสูงแม้ค่าจ้างจะแพงกว่าก็ตาม ผู้บริหารมืออาชีพที่ต้องการให้ผลงานของตนมีประสิทธิภาพก็ย่อมจะพัฒนากลจักรในองค์กรให้มีมาตรฐานสูงตามไปด้วย (http://www.krumontree.com)
(สำลี รักสุทธิ. 2543 : 8) กล่าวไว้ว่า เราทราบตรงกันแล้วว่าวงการศึกษาได้มีการปฏิรูปครั้งยิ่งใหญ่ ระฆังแห่งการปฏิรูปการศึกษาถูกตีดังขึ้นเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่ พ.ศ. 2540 คำพูดที่ว่า เด็กต้องปรับวิธีเรียน ครูต้องเปลี่ยนวิธีสอน ครูต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเด็กและครูด้วยกันเอง ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดบ่อยขึ้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ) การเรียนรู้ตามอัธยาศัย การเรียนรู้เพื่อเชื่อโยงสู่ท้องถิ่น การจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น การเรียนรู้แบบโครงงาน การนำแผนผังความคิด (mind mapping) มาเป็นวิธีการศึกษาหาความรู้ สิ่งเหล่านี้คือกระบวนการเกิดมาพร้อมกับคำว่าปฏิรูปการเรียนรู้
(กาญจนา วัฒายุ. 2545 : 5) กล่าวว่า การวิจัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับครูที่เป็นครูมืออาชีพ ผลการวิจัยจะทำให้ครูได้ทราบว่าจะจัดการศึกษาอย่างไรจึงถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด แลได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ครูต้องศึกษาวิจัยให้ได้ข้อสรุปว่า การจัดการเรียนรู้อย่างไรจึงจะเสริมสร้างกระบวนการคิด การฝึกทักษะ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ต้องสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ใช้ผลการวิจัยในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสนองตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
บทสรุป การทำวิจัยในชั้นเรียนทำให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้ ครูผู้สอนก็เกิดการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่หลากหลาย และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและครูผู้สอน นักเรียนมีความสุข ครูมีความสุข ผู้ปกครองก็มีความสุข ความรู้สึกเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่ทุกคนในวงการศึกษาต้องการให้เกิดขึ้น และถ้าความรู้สึกนี้นเกิดขึ้นจริง ๆ นั้นหมายความว่าครูผู้สอนได้ก้าวสู่ความเป็นครูมืออาชีพแล้วนั้นเอง
ข้อเสนอแนะ /ข้อคิดเห็น 1. ครูจะต้องรักศิษย์ด้วยความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ 2. ครูจะต้องทำงานวิจัยในชั้นเรียนเพื่อมุ่งแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน มากกว่ามุ่งที่จะทำผลงานให้กับตนเอง 3. ครูจะทำงานวิจัยในชั้นเรียนจะต้องทำบนพื้นฐานความสุขของนักเรียน 4. ครูจะต้องมีความซื่อสัตย์ และเที่ยงต่องานวิจัยในชั้นเรียน 5. ครูมืออาชีพจะต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา บรรณานุกรม
กาญจนา วัฒายุ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ : ธนพรการพิมพ์. ทิศนา แขมมณี และคณะ. (2544). การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียน : การศึกษาพหุกรณี. รายงานการวิจัย. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี,นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2546). เก้าก้าวในการวิจัยปฏิบัติการใน ชั้นเรียน และการ สังเคราะห์งานวิจัย. กรุงเทพฯ : นิชิน แอดเวอร์ไทซิ่ง กรู๊ฟ. ระพินทร์ โพธิ์ศรี. (2545). วิจัยในชั้นเรียน. (เอกสารประกอบการอบรม). หน้า 1 สำลี รักสุทธิ. (2543). ทางก้าวสู่ครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองสาส์น การ พิมพ์. อุทุมพร จามรมาน. (2544). การวิจัยในชั้นเรียนและในโรงเรียน เพื่อพัฒนา นักเรียน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ฟันนี่. http://www.geocities.com/zurin111/learning1.html http://www7.brinkster.com/prachyanun/artical/artical12.html http://www.thailearn.net/index_t1.html http://www.krumontree.com/documents/developer_02.html
|