IT Digest

Volume 1 No 8 (16 October 2004)
By R&D Strategy Development, NECTEC.
Email: digest@nectec.or.th


A biweekly newsletter from NECTEC to information technology leaders in Thailand.

 

สารสนเทศการแพทย์ .... เครื่องมือของหมอยุคใหม่

 

ทุกวันนี้การรักษาพยาบาลมีความก้าวหน้าไปมาก ความก้าวหน้าทางการรักษาพยาบาลนั้นเกิดขึ้นทั้งเนื่องจากความก้าวหน้าของวิทยาการด้านการแพทย์ รวมไปถึงการผสมผสานการแพทย์กับศาสตร์อื่นๆ เทคโนโลยีสารสนเทศก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ในอดีตดูเหมือนจะเป็นคนละแนวกับการแพทย์ แต่วันนี้มันถูกนำมาผนวกกับการรักษาพยาบาลอย่างกลมกลืน เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นได้เข้าไปมีบทบาทในด้านการแพทย์ตั้งแต่ระดับง่าย คือ ช่วยในการบันทึกและจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและประวัติการรักษา ไปจนถึงระดับขั้นสูงที่มีความซับซ้อนมากๆ คือ ช่วยในการวิเคราะห์โรคและเฝ้าสังเกตความผิดปกติของผู้ป่วยและการระบาดของโรค
            จุดเริ่มต้นของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เข้ามาใช้ในการแพทย์ คือ การบันทึกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการรักษาอยู่ในรูปของไฟล์ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และเก็บบันทึกไว้ในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความผิดพลาดจากการรักษา จากการสำรวจของ Institute of Medicine ในปี 1993 พบว่า สาเหตุของการเสียชีวิตของคนอเมริกันราว 7,400 คน เป็นผลมาจากความผิดพลาดในการรักษา ซึ่งเกิดจากการที่เภสัชกรไม่สามารถอ่านลายมือของหมอได้ถูกต้อง ทำให้จ่ายยาผิด ด้วยเหตุนี้ US Department of Health and Human Services จึงพยายามผลักดันให้หมอในสหรัฐฯ เก็บข้อมูลผู้ป่วยในรูปดิจิทัล และสั่งจ่ายยาด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อลดความผิดพลาดและทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการดีที่ขึ้น
            การนำITเข้ามาช่วยในการแพทย์ ทั้งในด้านของการสั่งจ่ายยา เก็บข้อมูลการรักษา และเก็บข้อมูลที่ได้จากห้องแลป ช่วยให้การผิดพลาดในการักษาพยาบาลลดลงได้มากถึงเกือบร้อยละ 80 ผลดีดังกล่าวเป็นแรงจูงใจประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสำหรับช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (Decision Support System) ระบบช่วยในการตัดสินใจนี้จะช่วยแพทย์ในการวิเคราะห์ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากตัวยาหรือปริมาณของยาที่ผู้ป่วยได้รับ ด้วยการวิเคราะห์เปรียบเทียบ น้ำหนัก ผลการวิเคราะห์โรค ยารักษาโรคตัวอื่นๆ ที่ผู้ป่วยได้รับ รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆ เช่น ตับของผู้ป่วย ฯลฯ นอกจากนั้นระบบนี้ยังมีการเปรียบเทียบข้อมูลการรักษาระหว่างกลุ่มของผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายกันได้อีกด้วย ซึ่งการเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้แพทย์ทราบว่า ยาชนิดใดมีผลดีที่สุดสำหรับในแต่ละอาการของโรค
            ปัจจุบันมีการนำระบบสนับสนุนการตัดสินใจข้างต้นมาช่วยในการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Datamining Technology) เพิ่มขึ้นและในขณะนี้มีบริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งให้ความสนใจและเข้ามาให้บริการในเรื่องนี้ ได้แก่ บริษัท MedMine, Cereplex, บริษัท Theradoc, และ บริษัท Vecna Technology เป็นต้น ซึ่งระบบนี้อาศัยหลักการในการทำงานที่สำคัญ คือ การใช้ datamining algorithms สำหรับวิเคราะห์หาความผิดปกติ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการตัดสินใจของแพทย์แล้ว ยังช่วยในการติดตามผลการรักษาโรคติดต่อ หรือการก่อการร้ายด้วยชีวภาพได้อีกด้วยสำหรับประเทศไทย การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computing) หรือระบบฐานข้อมูล (Database) เข้ามาช่วยในการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ป่วยหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์นั้น  พบว่ายังมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย หากเปรียบเทียบกับสถานพยาบาลในบางประเทศ อาทิ Mayo Clinic ในสหรัฐฯ, Hadassah Hospital ในอิสราเอล, หรือ Kobe General Hospital ในญี่ปุ่น
           
ส่วนใหญ่ประเทศไทยนำไอทีมาใช้เพื่อการบริหารงานในสถานพยาบาลมากกว่าการนำไอทีมาเพิ่มศักยภาพในการรักษาพยาบาล ดังนั้นหากเราต้องการที่จะเป็นศูนย์สุขภาพของเอเชียตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ หลายฝ่ายคงต้องช่วยกันส่งเสริมและผลักดันอย่างจริงจังในการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในสถานพยาบาลให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของการรักษาของแพทย์ไทยแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงวิธีการให้บริการรักษาพยาบาลที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้โดยตรง เนื่องจากทุกคนต้องการที่จะได้รับบริการรักษาที่เท่าเทียมกันและได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

 

ที่มา: “Fighting Inflection with Data.” Innovationnews (Oct. 2004). www.technologyreview.com
“Diagnosing with Data.” www.technologyreview.com/articles/03/12/innovation11203.asp?p=0

"Paperless Medicine.” (Apr.2003) www.technologyreview.com/articles/03/04/jonietz0403.asp?p=0

 

เทคโนโลยี RFID: ระบบอัจฉริยะที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (ตอนที่ 1)

 

ระบบ Radio Frequency IDentification : เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังเข้ามาแทนที่ระบบบาร์โค้ดแบบเดิมที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1970  และเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้ามาช่วยอ่านค่าสินค้าหรือรหัสเฉพาะตัวของสินค้าโดยไม่จำเป็นต้องนำสินค้านั้นไปแนบติดกับเครื่องอ่านหรืออุปกรณ์อ่านค่าอย่างระบบบาร์โค้ด และสามารถนำ RFID ไปแปะหรือฝัง (embedded) ไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งของสินค้าได้  เนื่องจากมีขนาดเล็กมากๆ จึงสามารถนำไปติดหรือแปะไว้ที่รถขนของ เสื้อผ้า หรืออะไรต่างๆ ได้สารพัดที่ตามความต้องการของเรา ในขณะที่ระบบบาร์โค้ดปัจจุบันมีข้อจำกัดที่ต้องเอาสินค้ามาวางที่เครื่องอ่านทีละชิ้นและต้องวางให้ดีๆ แต่เครื่องอ่านสัญญาณของ RFID สามารถจับการเคลื่อนไหวของสินค้าได้พร้อมๆ กันหลายๆ ชิ้น รวมทั้งสามารถจับการเคลื่อนไหวนั้นๆ ได้แม้ว่าสินค้าจะอยู่ห่างหรืออยู่ในระยะไกลจากเครื่องอ่านหรือพนักงานของห้าง ทำให้สามารถอ่านข้อมูลจากตัวป้าย (tag) RFID ได้ครั้งละจำนวนมากๆ หรืออย่างน้อย 50 ป้ายต่อวินาที โดยมีระยะที่เหมาะสมในการอ่านป้าย (tag) อยู่ระหว่าง 3 เซนติเมตรถึง 10 เมตร
            นอกจากนั้น สามารถนำเทคโนโลยี  RFID มาใช้ทำงานด้านอื่นๆ ได้ เช่น การบริหารคลังสินค้า การควบคุมอุณหภูมิ  การติดตามสินค้าที่หายหรือถูกขโมย  การควบคุมอุณหภูมิในช่วงขนส่ง หรือแม้แต่นำไปใช้ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับมนุษย์  เช่น สถานที่/ห้องที่สกปรกเป็นห้องปิดทึบหรือในอุโมงค์ใต้ดินที่มีอากาศเบาบางหรือไม่มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน หรือบริเวณ/พื้นที่ที่มีการรั่วของสารเคมีสารพิษในระดับอันตราย เป็นต้น
            RFID เป็นไมโครชิป หรือ Digital Chip ที่มีขนาดเล็กกว่าเม็ดทรายแต่มีขีดความสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ได้จำนวนมาก และมีสายอากาศฝังไว้รอบๆ ชิป ทำให้สามารถติดต่อประสานงานกับเครือข่ายหรือโอนถ่ายข้อมูลเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลหรือคลังสินค้าได้   ระบบ RFID มีลักษณะคล้ายกับระบบบาร์โค้ดแต่เป็นระบบบาร์โค้ดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุ  ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ ตัวป้าย (tag)  เครื่องอ่านหรืออุปกรณ์อ่านค่า (scanner)  เสารับสัญญาณและซอฟต์แวร์   โดยในส่วนข้อมูลของสินค้าจะถูกบันทึกไว้ในชิปขนาดเล็กที่ติดอยู่กับตัวป้าย โดยมีเสารับสัญญาณเล็กๆ ติดไว้อีกทีหนึ่ง  ดังนั้น เมื่อสินค้าที่ติดป้าย RFID เคลื่อนที่ผ่านเครื่องอ่านหรืออุปกรณ์อ่านค่าในระยะห่างพอประมาณ ป้ายอัจฉริยะดังกล่าวจะปล่อยสัญญาณที่ระบุข้อมูลที่เป็นรหัสเฉพาะของสินค้านั้นออกมาและเครื่องอ่านหรืออุปกรณ์อ่านค่าจะทำการอ่านและถอดรหัสส่งไปยังหน่วยประมวลผลกลางที่ใช้ในการบริหารระบบควบคุมคลังสินค้า (supply chain)  ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านี้จะปรากฏออกมาให้เห็นได้ทันที เช่น รหัสสินค้า  ราคา  สถานที่เก็บสินค้า จำนวนของสินค้าที่อยู่ในสต็อก เป็นต้น 
           กระแสความต้องการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ในธุรกิจต่างๆ กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจจำเป็นต้องมองหาโอกาสและริเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบเก่าๆ ที่ไม่พึ่งเทคโนโลยี  เพื่อเพิ่มโอกาส  ตลอดจนขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรักษาและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจด้วย
           อาจกล่าวได้ว่า  “RFID”  เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามาปฏิวัติระบบซัพพลายเชนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านร้านค้าปลีกและผู้ผลิต  และขณะนี้ “วอล-มาร์ท”  ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของโลกได้ริเริ่มนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ และประกาศว่าจะเริ่มใช้จริงในปีหน้า (เดือนมกราคม 2548)   ซี่งการเคลื่อนไหวของ “วอล-มาร์ท” ครั้งนี้มีผลให้ผู้ผลิตที่ต้องส่งสินค้าไปวางขายกับวอล-มาร์ทตื่นตัวและเตรียมตัวพัฒนาเทคโนโลยี “RFID”  เพื่อรองรับการนำระบบอัจฉริยะ RFID มาใช้มากขึ้น จากปัจจัยที่กล่าวมา คาดการณ์ว่าภายในปี 2551  ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี RFID จะมีมูลค่าการใช้รวมทั่วโลกถึง 124,000 ล้านบาท ส่วนของการนำเทคโนโลยี “RFID” มาใช้ในกลุ่มธุรกิจใด และมีประเทศใดบ้างที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

 

ที่มา: https://www.rfidinsights.com/opinions/showArticle.ihtml?articleId=46800125

https://en.wikipedia.org/wiki/RFID

https://www.bangkokbiznews.com

 

ชิปมือถือเพื่อรับสัญญาณภาพทีวีระบบดิจิตอล

 

ความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ที่ต้องการใช้ระบบเครือข่ายไร้สายที่สามารถเชื่อมต่อได้ง่ายขึ้นและมีความเร็วสูง รวมทั้งรองรับการให้บริการที่หลากหลายและนำไปใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา  ก่อให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูง (3G :Third Generation Mobile Systems)และสร้างวิทยาการใหม่ๆ ที่รองรับการสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยงกับอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ ผ่านทางเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งมีการทำงานที่ประสานกันมากขึ้น ทำให้สื่อสารถึงกันได้อย่างไร้ขอบเขต และใช้เทคโนโลยีมีความเร็วสูง สามารถรองรับการให้บริการ Multimedia ได้อย่างเต็มรูปแบบผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เช่น ใช้ถ่ายรูป ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ รับส่งอีเมล์ รับสายหรือโทรออกได้พร้อมกัน  ดังนั้น ความพร้อมของอุปกรณ์สื่อสารและระบบเครือข่ายที่รองรับการการบริการในยุค 3G นี้จึงมีความสำคัญและควรติดตามความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายอย่างต่อเนื่อง
           ขณะที่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับโทรศัพท์เร่งพัฒนาระบบการสื่อสารบนเครือข่ายไร้สายให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงในยุค 3G ในส่วนของผู้ผลิตเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็เตรียมความพร้อมด้วยการพัฒนาโทรศัพท์เครื่องที่ให้มีคุณสมบัติพิเศษที่รองรับการทำงานในหลายๆ ด้านที่มีลักษณะของการบริการที่หลากหลายแบบ Multimedia ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพ  เริ่มจากต้นปี 2547  ที่ผ่านมา ทางบริษัท อินเทล คอร์ปอเรชั่น ได้เคยเปิดตัวโครงการพัฒนาชิปทีวีระบบดิจิทัล  ซึ่งใช้เทคโนโลยี Crystal เหลวบนแผ่นซิลิคอน หรือ  LCoS (Liquid Crystal on Silicon) โดยการผนวกฟังชั่นของการแสดงผลภาพในอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์เข้ากับระบบอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์และนำมาติดตั้งลงบนซิลิคอน  อุปกรณ์นี้จะเปลี่ยนโฉมโทรศัพท์เครื่องที่แบบเดิมให้สามารถรับสัญญารภาพทีวีที่มีความคมชัดสูง โดยคาดว่าจะเปิดตัวชิปนี้ได้ในปลายปี 2547 และวางแผนที่จะเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์ไร้สายที่บุกตลาดทีวีดิจิตอล แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัท อินเทลฯ ได้ประกาศยุติโครงการนี้  ด้วยเหตุผลของต้นทุนที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนาไม่คุ้มค่ากับรายได้หรือผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังพบว่า ยังมีปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ บริษัทขาดความชำนาญและประสบการณ์ทางด้านเทคนิคในการรวม Crystal และแก้วสีไว้บนตัวทรานซิสเตอร์ 
           แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ความสนใจของผู้ประกอบธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายชะงักการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารบนเครือข่ายไร้สาย และลดแผนการผลักดันโครงการพัฒนาอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูงไป  ผู้ประกอบธุรกิจด้านการสื่อสารไร้สายหลายรายกลับมองว่า เทคโนโลยีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดโอกาสและเพิ่มทางเลือกทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารทั้งของผู้ใช้และผู้ผลิต และเป็นเทคโนโลยีที่ท้าทายความสามารถเป็นอย่างมาก เช่น บริษัท เท็กซัส อินสทรูเมนท์ส หรือ ทีไอ  ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เปิดตัวโครงการพัฒนาชิปในชื่อ “ฮอลลีวู้ด”  เพื่อช่วยให้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามรถรับสัญญาณภาพจากทีวีระบบดิจิตอลได้นับร้อยสถานี  เช่นเดียวกับสัญญาณทีวีตามบ้านที่รับอยู่  และคาดว่าจะวางตลาดได้ในปี 2550 และบริษัท  ควอลคอมม์ ได้เริ่มพัฒนาชิปที่ช่วยให้โทรศัพท์เคลื่อนที่รับสัญญาณทีวีดิจิตอลได้เช่นกัน ในขณะที่บริษัท เอสเค เทเลคอม  ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ได้เริ่มทดสอบบริการส่งสัญญาณทีวีให้กับมือถือผ่านเครือข่ายที่ใช้งานของบริษัท  ฯลฯ
           อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีการสื่อสารบนเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงนี้จะน่าสนใจและมีแนวคิดมาจากความต้องการของผู้ใช้ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรยืนยันว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อเพียงใด รวมทั้งค่าบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังไม่มีการกำหนดอัตราที่ชัดเจนไว้ และที่สำคัญการพัฒนาอุปกรณ์เสริมบางอย่าง เช่น แบตเตอรี่ ฯลฯ ก็ต้องพัฒนาคุณภาพให้สามารถรองรับการทำงานที่หลากหลายด้วย   จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปถึงความก้าวล้ำในเชิงเทคโนโลยีและความสามารถในการสร้างตลาดและการยอมรับของพฤติกรรมผู้บริโภค 

 

 ที่มา: https://focus.ti.com/docs/pr/pressrelease.jhtml?prelId=sc04226

         https://www.reuters.com/newsArticle.jhtml?type=topNews&storyID=6572608

         https://www.reuters.com/newsArticle.jhtml?type=topNews&storyID=6576456

 

IT Digest เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำขึ้นเผยแพร่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หากท่านสนใจเป็นสมาชิก หรืออ่านบทความย้อนหลัง โปรดติดต่อเราได้ที่เว็บไซต์  https://digest.nectec.or.th/ (อยู่ระหว่างจัดทำ)
ที่ปรึกษา: ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล   บรรณาธิการบริหาร: กัลยา อุดมวิทิต
กองบรรณาธิการ: ถวิดา มิตรพันธ์, รัชราพร นีรนาทรังสรรค์, จิราภรณ์  แจ่มชัดใจ, พรรณี  พนิตประชา, อภิญญา  กมลสุข  และ จินตนา พัฒนาธรชัย 
สงวนลิขสิทธิ์ (c) 2547 โดยเนคเทค