IT Digest |
Volume 1 No 5
( |
A biweekly newsletter from NECTEC
to information technology leaders in |
เทคโนโลยีไร้สาย
ตอนจบ: WiMax อีกหนึ่งเทคโนโลยีไร้สาย
WiMax เป็นระบบสื่อสารไร้สายที่สามารถรับส่งข้อมูลได้จำนวนมากถึง
70 เมกกะบิตต่อวินาที และสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างถึง 50 ตารางกิโลเมตร ในขณะที่ Wi-Fi
ครอบคลุมพื้่นที่เพียง
50 ตารางเมตร
WiMax ถูกคาดหวังว่าจะมีการนำใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนา
โดยนำมาใช้เป็นโพรโทคอลสำหรับการส่งสัญญาณเสียงรวมทั้งสื่อในรูปแบบอื่นๆ
ผ่านอินเทอร์เน็ต (voice-over-internet-protocol) แทนการส่งสัญญาณผ่านสายทองแดง เทคโนโลยี WiMax จะช่วยให้การติดต่อระยะไกลๆ มีราคาถูกลง
เนื่องจากผู้ประกอบการในอนาคตสามารถเปลี่ยนจากการวางสายทองแดงมาเป็นการติดตั้งหอสัญญาณ
WiMax แทน
มีการคาดการณ์ว่า หาก WiMax ถูกใช้อย่างแพร่หลายแล้ว
อุปกรณ์ต่างๆ ที่เคยอยู่กับที่จะถูกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ และสามารถติดต่อกันง่ายขึ้น
ซึ่งในเรื่องนี้ผู้นำในการผลิตชิปแนวหน้าของโลก เช่น บริษัท Intel ก็ให้การสนับสนุนและเริ่มมีแผนที่จะผลิตชิปที่เป็น WiMax เพื่อรองรับมาตรฐานของคอมพิวเตอร์ Laptop ที่ดีที่สุดในอนาคตซึ่งคาดว่าจะเริ่มในปี
2006-2007
อย่างไรก็ตาม มีบางคนไม่เชื่อว่าเทคโนโลยี WiMax จะถูกนำมาใช้กันอย่างกว้่างขวางในอนาคตเหมือนอย่างที่บริษัท
Intel เชื่อมั่น ตัวอย่างเช่น Mr. Brain Modoff ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์จาก
Deutsche Bank เห็นว่าเทคโนโลยี WiMax จะไม่ขยายตัวมากนักในอนาคต เนื่องจากผู้ขายอุปกรณ์โทรคมนาคมบางรายอาจจะไม่ให้การสนับสนุน เพราะเห็นว่า WiMax จะแย่งส่วนแบ่งผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการขายอุปกรณ์สำหรับโทรศัพท์ในยุคที่
3 (third-generation: 3G) นอกจากนั้น
ยังมีผู้ผลิตอุปกรณ์บางรายเห็นว่า WiMax เป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเมื่อ WiMax ได้รับการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องแล้ว จะส่งผลให้มาตรฐานบรอร์ดแบนด์ 802.20
ที่กำลังถูกพัฒนานั้นตายไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ดังนั้น จึงน่าจับตามองว่า เทคโนโลยี WiMax นั้นจะเดินไปในทิศทางใด
มัีนจะเพียงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นและตายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม
หรือว่าจะถูกใช้เป็นอีกช่องทางที่นำมาใช้เพื่อการติดต่อสื่อสารในระบบไร้สาย
ที่มา: https://www.economist.co.uk/business/displayStory.cfm?story_id=2502742
เทคโนโลยี
e-ink
ปัจจุบันนักวิจัยจากบริษัท Phillips Emerging Display
Technologies มหาวิทยาลัย Limburgs ของประเทศเนเธอร์แลนด์
และบริษัท E-Ink ได้ร่วมกันพัฒนา e-ink ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีอุปกรณ์แสดงผลหมึกอิเล็กทรอนิกส์
(Electronics ink) กับเทคโนโลยีอุปกรณ์แผ่นสัมผัส (Touch
panel) เพื่อสร้าง Electronic Drawing Tablet ซึ่งมีลักษณะคล้ายกระดาษมากขึ้น
เทคโนโลยีสำคัญที่นำมาประยุกต์ใช้ในการงานวิจัยชิ้นนี้ประกอบด้วย 2
ส่วนได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง คือ Electronics ink คือไมโครแคปซูลขนาดเล็กเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมจำนวนมาก
โดยในไมโครแคปซูลแต่ละเม็ดจะประกอบด้วยอนุภาค (particle) สีขาวที่เป็นประจุไฟฟ้าบวก
และ อนุภาคสีดำที่เป็นประจุไฟฟ้าลบ ลอยอยู่ในของเหลวใส
เมื่อประจุไฟฟ้าขั้วลบส่งผ่านไปยังตัวนำไฟฟ้า อนุภาคสีขาวจะเคลื่อนที่ไปบนไมโครแคปซูล
ซึ่งจะแสดงผลให้แก่ผู้ใช้ โดยทำให้แผ่นผิวของแผ่นแสดงผลเป็นสีขาว
ส่วนอนุภาคสีดำจะถูกดึงลงไปยังส่วนล่างของไมโครแคปซูลและจะไม่แสดงผล
หากดำเนินการในทางกลับกันโดยปล่อยประจุไฟฟ้าขั้วบวก อนุภาคสีดำจะแสดงผลในส่วนบนของไมโครแคปซูล
ทำให้แผ่นผิวแสดงผลเป็นสีดำ
สำหรับส่วนที่สองคือ ส่วนแสดงผลนั้น ตัวหมึกจะถูกพิมพ์ไปบนแผ่นฟิล์มพลาสติกซึ่งจะเคลือบด้วยแผงวงจรไฟฟ้า
โดยแผงวงจรไฟฟ้าจะสร้างรูปแบบของพิกเซลที่จะถูกควบคุมโดย
display driver นอกจากนี้ไมโครแคปซูลซึ่งลอยใน carrier
medium ยังสามารถทำให้ E-ink ถูกพิมพ์โดยใช้กระบวนการพิมพ์ในรูปแบบเดิม
ในพื้นผิวอื่นๆ เช่นกระจก พลาสติก ผ้า และกระดาษ
ที่สำคัญ e-ink ยังสามารถแสดงผลภาพได้แม้จะมีกระแสไฟฟ้าน้อย
หรือสามารถแสดงผลได้ด้วย Low light ทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัย back
light ในการแสดงผล
เท่ากับช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ได้
นอกจากนั้น
เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค Free
hand เช่น การวาดรูปการ์ตูน หรือการเพิ่มหมายเหตุ (annotation)
ในเอกสารได้ และยังสามารถปรับใช้เป็นจอแสดงผลสำหรับอุปกรณ์ eReader,
PDA และเครื่องโทรศัพท์มือถือด้วย
ที่มา : 1)
Technology Review
https://www.technologyreview.com/articles/04/07/rnb_072007.asp?trk=nl
2) The Society for Information Display
(SIDS) International Symposium 2004
e-Ink Technology roadmap https://www.eink.com
ฟาร์มไฮเทค
โฉมหน้าใหม่ทางการเกษตร
มหาวิทยาลัยรัฐแคนซัสได้เปิดเผยถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้กับเกษตรกรรมในอนาคตโดยได้ทำการทดสอบการทำงานของรถแทรกเตอร์ซึ่งได้รับการติดตั้งระบบนำทางด้วยการใช้เทคโนโลยีผ่านดาวเทียม
(Global Positioning
Systems: GPS) ขึ้นที่เมือง Salina รถแทรกเตอร์อัจฉริยะนี้สามารถทำงานได้เองอัตโนมัติโดยไม่ต้องมีคนขับ
ระบบนำทางจะช่วยให้รถสามารถเคลื่อนที่ไปรอบๆ แปลงเกษตร รวมทั้งหยอดเมล็ดได้ตรงตามตำแหน่งที่ต้องการ
ซึ่งช่วยให้ลดการสูญเสียพื้นที่และลดมลภาวะอีกด้วย นอกจากนั้น
ระบบการนำทางนี้ยังช่วยให้รถแทรกเตอร์เคลือนที่ไปตามแนวระยะทางที่เราตั้งไว้และสามารถบอกตำแหน่งที่ต้องการได้
เนื่องจากระบบพิกัด (Coordinate System)
มีความถูกต้องแม่นยำสูง และที่สำคัญยังช่วยลดความซ้ำซ้อนจากระบบเดิมด้วย
ผลการทดสอบรถอัจฉริยะดังกล่าวนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ผลิต
อีกทั้งยังสนใจเข้าร่วมทดสอบระบบเป็นจำนวนมาก
อาจกล่าวได้ว่า การนำเทคโนโลยีที่นำระบบ GPS มาใช้กับการเกษตรนี้กำลังเป็นที่สนใจและพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในวงการวิศวกรรมการเกษตร
เนื่องจากเทคโนโลยีดาวเทียมสามารถส่งข้อมูลที่รวดเร็วมีความถูกต้องสูง
ช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการทำงานเพราะสามารถป้อนคำสั่งให้ปฏิบัติงาน
ซึ่งโปรแกรมจะคำนวณระยะนำทางและดำเนินการหมุนกลับรถแทรกเตอร์ได้อย่างแม่นยำ ประหยัดสารเคมี ประหยัดพลังงานและเวลา
ช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น
ในอนาคตเทคโนโลยี GPS จะเข้ามามีบทบาทและควบคุมการดำเนินธุรกิจและการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยและอาจไม่ต้องพึ่งพาแรงงานจากมนุษย์อีกต่อไป
ที่มา : https://agriculture.about.com/library/weekly/aa081702a.htm
IT Digest เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำขึ้นเผยแพร่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
หากท่านสนใจเป็นสมาชิก หรืออ่านบทความย้อนหลัง โปรดติดต่อเราได้ที่เว็บไซต์ https://digest.nectec.or.th/
(อยู่ระหว่างจัดทำ)
ที่ปรึกษา: ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ชฎามาศ
ธุวะเศรษฐกุล บรรณาธิการบริหาร: กัลยา อุดมวิทิต
กองบรรณาธิการ: ถวิดา มิตรพันธ์, รัชราพร นีรนาทรังสรรค์, จิราภรณ์ แจ่มชัดใจ, พรรณี พนิตประชา, อภิญญา กมลสุข และ จินตนา พัฒนาธรชัย
สงวนลิขสิทธิ์ (c) 2547 โดยเนคเทค