นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมเชิงปฏิบัติการ
"ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย"
4 กุมภาพันธ์
2545 : เมื่อเช้าวันนี้ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ได้มีการประชุม
เชิงปฏิบัติการเรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
( Information
and Communication Technology : ICT ) โดยมี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
เป็นประธาน พร้อมผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 100 คน ซึ่งประกอบด้วยผู้กำหนดนโยบายผู้แทนหน่วยงาน
ที่รับผิดชอบในการผลักดันนโยบายสู่ภาคปฏิบัติ ผู้แทนจากภาคเอกชน
และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ประชุม
ได้สรุปกรอบยุทธศาสตร์ที่สำคัญรวม 3 ประการ คือ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
การใช้ ICT ในภาครัฐ
และการพัฒนาบุคลากร ด้าน ICT
กล่าวโดยสรุป นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเป้าประสงค์ในภาพรวมของการพัฒนา
ICT ว่า ต้องการเห็น
ICT เป็นอุปกรณ์สำคัญในการ บริหารจัดการทั้งภาครัฐและเอกชน ในการศึกษาระดับบน
และส่งผลลงสู่
ชนบทโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ต้องการเลือกให้เกิด เศรษฐกิจของความเร็ว
(Economy of speed)
มากกว่าเศรษฐกิจของขนาด ( Economy of scale) พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี
ได้กล่าวว่าประเด็น
ต่าง ๆ ในการสัมมนาในวันนี้ จะนำไปสู่โครงสร้างและภาระกิจของกระทรวงใหม่
คือ กระทรวง
เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งแม้ว่าหากดูเพียงขนาดอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นกระทรวง
แต่หากดูความสำคัญแล้วมีความจำเป็น ในระยะยาว ต้องการเห็นประเทศไทย
มี e-Citizen ประชาชน
ทุกคนมี Smart Card ประจำตัว ซึ่งจะทำให้เรารู้โครงสร้างประชากร
(profile) ของเราตลอดเวลาใน
การดำเนินการเพื่อให้ความฝันเหล่านี้เป็นจริง รัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเต็มที่
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบถึงความก้าวหน้า
และเห็นชอบในวิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัตถุประสงค์
หลักของแผนยุทธศาสตร์ฯ ที่ได้ นำเสนอ ในส่วนของเรื่องที่เป็นยุทธศาสตร์หลัก
3 เรื่อง มีข้อสรุป
ที่เป็นมติ ดังนี้
1.
การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ประชุมได้มีการอภิปรายใน 7 ประเด็นสำคัญ
ได้แก่
การสร้างตลาดภายในประเทศ โดยใช้ตลาดภาครัฐเป็นตัวนำ
การสร้างพันธมิตรเพื่อเปิดตลาดต่างประเทศ
การจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ขนาดกลางและ
เล็กของไทยสามารถแข่งขันได้
การพัฒนาบุคลากรซอฟต์แวร์ไทยให้มีทักษะสอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรม
การจัดสรรบริการเครือข่ายสื่อสารที่แข่งขันได้
การจัดทำ
Software Park ของไทย เป็นบริการที่เดียวแบบครบวงจร
การจัดตั้ง
Software Industry Promotion Agency
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุปภารกิจของภาครัฐ
จากที่ได้มีการอภิปรายในที่ประชุม ว่ารัฐบาลจะ
ดำเนินการ ดังนี้
เปิดตลาดภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ ที่จะมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้กับบริษัทที่จดทะเบียน
ในประเทศไทย
( จะเป็นบริษัทไทย หรือ บริษัท ไทยร่วมทุนกับต่างประเทศก็ได้ )
พยายามดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาโดยการปรับปรุงกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวย
ในเรื่องการเงิน จะได้กลไกของ บอย. ( ซึ่งจะแปรสภาพเป็น SME Bank
ในอนาคต ),
กลไกธนาคารของรัฐ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนา ธนาคารประชาชน และ
กองทุนร่วมทุน
( Venture capital ) ที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการใหม่
ใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนหนึ่งในการพัฒนาบุคลากร
รวมถึงให้โอกาสเด็ก
รุ่นใหม่
ๆ ให้มีงาน มีรายได้เสริม
ที่ประชุมได้มอบหมายเนคเทค
สวทช. เรียนรู้และรวบรวมความต้องการของภาคเอกชน และทำ
ข้อเสนอต่อรัฐบาล ว่าต้องทำอะไรบ้าง นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
ทำเรื่อง
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการระดับนโยบายที่จะมาผลักดัน
วาระเร่งด่วนต่าง ๆ อาทิ
การจัดตั้งองค์กร Software Industry Promotion Agency (SIPA) เพื่อรับผิดชอบเรื่องการ
ส่งเสริม อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในภาพรวม, การพัฒนาบุคลากร,การใช้ตลาดภาครัฐเพื่อเปิดโอกาส
ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทย, การตั้งกองทุนรวม ( Software
Equity Fund )
เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ ฯลฯ โดยให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ ในฐานะแกนนำ
คณะกรรมการ
e-Government หารือร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ (เนคเทค) และกระทรวงคมนาคม
เพื่อทำ
ข้อเสนอดังกล่าว
2.
การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ที่ประชุมได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับมาตรการที่สำคัญ ดังนี้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐ
ภาค
อุตสาหกรรม และ ภาคมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รัฐสนับสนุนแผนพัฒนาอาจารย์
ด้าน ICT เพื่อเพิ่มจำนวนอาจารย์ที่มีความรู้และประสบการณ์เป็น 3
เท่า ภายใน 10 ปี จัดตั้ง
ศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านไอทีทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ
ภาคมหาวิทยาลัย และ ภาคอุตสาหกรรม จัดตั้งกองทุนอุดหนุนการวิจัยและพัฒนาด้านไอทีเพื่อ
การวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและภาคอุตสาหกรรมจัดตั้งสถาบันฝึกอบรม
Professional Training
ด้านไอที ทั้งแบบไม่เน้นปริญญา และแบบปริญญา
โดยที่ประชุมได้มีมติ
และ/หรือข้อสังเกต สรุปได้ดังนี้
แนวคิดการพัฒนาคน
ควรทำสองแนวทางที่ต้องผสมผสานกัน ได้แก่
พัฒนาเป็นครู อาจารย์ นักวิจัย
พัฒนาให้รู้วิชาชีพ เพื่อมุ่งให้ทำงานได้ดี ทั้งนี้ ควรต้องมีการแลกเปลี่ยนบุคลากร
ในสถาบันการศึกษา
กับบุคลากรในภาคเอกชน
เห็นด้วยกับการกำหนดแผนฝึกคนและอุตสาหกรรมให้รับกัน เพื่อมิให้คนไทยที่ฝึกแล้ว
ถูกดึงตัวไป ต่างประเทศ ขอให้เสนอแผนที่รัฐ จะสนับสนุนได้เร็วและแรง
ให้พิจารณาจ้างชาวต่างประเทศผู้มีวิชาการ ความรู้ เข้ามาทำงานในการฝึกอบรมคนให้ได้ดี
อย่างไรก็ดี ให้ดูความพอดี ทั้งในการ เปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามา
และดูแลให้เหมาะสม
ให้แน่ใจว่าเกิดผลดี
พิจารณาแนวทางเพื่อให้หนังสือ ตำรา ราคาถูกลง และหาวิธีจัดทำอุตสาหกรรมการพิมพ์ตำรา
พิจารณาแนวทางเพื่อจัดตั้งห้องสมุดในลักษณะที่เป็น Living Library
ให้เยาวชนไปใช้บริการ
โดยอาจหาหนังสือ / ตำราที่วางตลาด แล้วในระยะหนึ่ง
ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าหนังสือออกใหม่
ให้เนคเทคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน ร่วมกันพิจารณาและเสนอแนะวิธีการ
ให้
เสนอแผนการผลิตคน (Professional Training Institute
) โดยหลักการคือ ให้เอกชน
ดำเนินการ เพราะมีความคล่องตัว สามารถปรับตัวได้เร็วกว่าทั้งในเรื่อง
การบริหาร / หลักสูตร
ทั้งนี้
ข้อ 3 ถือเป็นแกนหลักในการพัฒนาบุคลากรระยะเร่งด่วนของแผนแม่บทใน
5 ปีแรกนี้ให้
ผูกพันกับโครงการ SIPA ในส่วนที่ เอกชนจะมาลงทุนพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อไป
3.
การปฏิรูปราชการและ ICT กับการบริหารงานของภาครัฐเพื่อก้าวสู่ e-Government
ที่ประชุมได้อภิปรายในรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการที่นำเสนอเพื่อดำเนินการ
ที่เกี่ยวข้องกับ
3 ประเด็นหลักที่พบว่าเป็นปัญหาในการ ใช้ ICT ของภาครัฐ ได้แก่ เรื่องข้อมูล
( รวมถึงข้อมูล
ภูมิศาสตร์หรือ GIS ) เรื่องกำลังคน และเรื่องการบริหารจัดการ อาทิ
การจัดให้มีศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลภาครัฐ ( Government Data Exchange
: GDX )
ทำหน้าที่บริหารจัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ
ดูแลเรื่องมาตรฐาน
รหัสข้อมูลและจัดทำระบบทะเบียนที่อยู่ข้อมูล
แก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย เพื่อให้รองรับการทำงานในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
ปรับปรุงรูปแบบการพิจารณา / อนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับ ICT ของภาครัฐ
เพื่อให้
สอดคล้องกับสภาวะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว และลดการลงทุนซ้ำซ้อน
โดยที่ประชุมอนุมัติ
และ/หรือ ข้อสังเกต ดังนี้
การทำระบบ Information System ของราชการต้องเป็นไปตามวิวัฒนาการของการ
ปฏิรูประบบราชการ คือ
การกระจายอำนาจ ของส่วนกลางสู่ส่วนภูมิภาค หรือส่วน
ปฏิบัติการ ต่อไป Demand
of Services ในอนาคตจะมากขึ้น ต้อง Train ข้าราชการ
ให้เป็น Knowledge workers
เรื่อง GIS เป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยในเรื่องการกำหนดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ
ขอให้เป็นภารกิจหนึ่งของกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศที่จะตั้งขึ้นใหม่ด้วย
เชื่อว่าถ้าทำ e-Government สำเร็จ ก็จะก้าวไปสู่การเป็น e-Citizen
ได้ง่ายขึ้น
โครงการทำบัตรประชาชนแบบ Smart Card อาจเริ่มจากของราชการก่อน โดยเริ่มทำ
จากเล็กไปหาใหญ่ เช่น
กพ. ทำของข้าราชการพลเรือน หลังจากนั้นจึงค่อยขยายออกไปสู่
Scale ที่ใหญ่ขึ้นของประชาชนทั่วประเทศ
โดยใช้ Format เดียวกัน เพื่อก้าวสู่ e-Citizen
การจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ที่จะใช้ในภาครัฐ โดยการจัดซื้อแบบรวม
จะได้
ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมาย
ในราคาที่ประหยัดกว่า การแยกซื้อ
ให้สมาคมของภาคเอกชนได้คุยกันเองว่า สิ่งที่ดีที่สุดต่ออุตสาหกรรมที่ภาคเอกชนต้องการ
เห็นคืออะไร และในการไปถึงจุดนั้น
ต้องการให้รัฐทำอะไร ส่งให้เนคเทค สวทช. เพื่อจัดทำ
ข้อเสนอต่อรัฐบาลต่อไป
เห็นควรจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการเรื่องการบริหาร
จัดการข้อมูลเชิงพื้นที่
หรือข้อมูล ภูมิศาสตร์ เพื่อให้เกิดการใช้งานร่วมกันได้ ไม่ต้องลงทุน
ซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองงบประมาณ
รวมถึงการมีหน่วยงานรับผิดชอบเกี่ยวกับการ พัฒนาบุคลากร
ICT ของภาครัฐ
|