โสมขาวผุดมาตรฐานมือถือความเร็วสูง
รัฐบาลเกาหลี
เตรียมประกาศใช้มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย "ไวโบร" ปีหน้า
เผยคุณสมบัติ เปิดทางมือถือ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเร็วขึ้น 10 เท่า พร้อมรองรับความเร็วขณะเคลื่อนที่ 60
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านนักวิเคราะห์เชื่อสกัดอนาคตไวด์แบนด์-ซีดีเอ็มเอ ตลาดโสมขาว
เวบไซต์ เดอะ โคเรียนไทม์ รายงานว่า
กระทรวงการสื่อสาร และข้อมูลข่าวสาร หรือเอ็มไอซี ของเกาหลีใต้ มีกำหนดออกใบอนุญาตการให้บริการเทคโนโลยี
"ไวโบร" (WiBro) ที่พัฒนาขึ้นเองในประเทศ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
และคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบ ในช่วงปี 2549
โดยค่าธรรมเนียมในการใช้ช่วงความถี่ดังกล่าว จะอยู่ที่ราว 3%
ของรายได้ประจำปี
ทั้งนี้ มาตรฐานไวโบร ซึ่งเดิมมีชื่อว่า
มาตรฐานอินเทอร์เน็ต 2.3 กิกะเฮิรตซ์ จะมีความเร็วรับส่งข้อมูลราว 1
เมกะบิตต่อวินาที และสามารถรองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์ที่กำลังเคลื่อนที่ได้เร็วสูงสุด
60 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ด้านผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า
อัตราการเชื่อมต่อในระดับดังกล่าว มีความเร็วสูงกว่ามาตรฐานซีดีเอ็มเอ 1เอ็กซ์ อีวี-ดีโอ (CDMA 1x evolution data
optimized) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันราว 10 เท่า
ส่งผลให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ ได้เร็วเทียบเท่ากับการเชื่อมต่อบรอดแบนด์ผ่านโทรศัพท์พื้นฐาน
ขณะที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตท้องถิ่น เปิดเผยว่า เครือข่ายดังกล่าวใช้งบประมาณลงทุนติดตั้งเพียง
1 ล้านล้านวอน เมื่อเทียบกับเครือข่ายไวด์แบนด์-ซีดีเอ็มเอ (W-CDMA) ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนวางโครงข่ายราว
2 ล้านล้านวอน
ทั้งนี้ ผลการสำรวจของกระทรวงเอ็มไอซี
ชี้ให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามราว 50% มีแผนที่จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
ขณะที่บริษัทราว 30% จะใช้ในการเชื่อมต่อผ่านโน้ตบุ๊ค และอีก
20% ต้องการใช้เชื่อมต่อผ่านพีดีเอ "ค่าใช้บริการน่าจะตกอยู่ราว 30,000-50,000
วอนต่อเดือน เพราะหากคิดราคาแพงกว่านั้น ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะเลิกใช้"
นายคิม ยง ซู รัฐมนตรีประจำกระทรวงเอ็มไอซีกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญ ยังเผยว่า
หากการใช้งานเทคโนโลยีไวโบรประสบความสำเร็จ อาจทำให้เครือข่ายไวด์แบนด์-ซีดีเอ็มเอ
ไม่สามารถแจ้งเกิดในเกาหลีใต้ได้ โดยที่ผ่านมา ผู้ให้บริการเครือข่ายของเกาหลีลังเลที่จะทุ่มลงทุนวางโครงข่ายไวด์แบนด์-ซีดีเอ็มเอ เนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคตของมาตรฐานดังกล่าว
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม 2547
|