ทีเมคเกาะติดอี-ซิติเซน ปรับสู่โรงงานเวเฟอร์ขนาดเล็ก
ศูนย์วิจัยไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) ปรับบทบาทเป็นโรงงานเวเฟอร์ขนาดเล็ก เกาะติดนโยบายอี-ซิติเซน ผลิตชิพป้อนบัตรสมาร์ทการ์ด ลดต้นทุนนำเข้าปีละ 650 ล้านบาท เล็งขออนุมัติเงินทุน ครม. รอบใหม่ภายใน 3 สัปดาห์
นายอิทธิ ฤทธาภรณ์ ผู้อำนวยการ
ศูนย์วิจัยไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
(เนคเทค) กล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์ปรับแนวทางดำเนินงานเป็นโรงงานเวเฟอร์แฟบขนาดเล็กที่จะผลิตชิพสำหรับที่ใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดได้
จากเดิมมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาไมโครชิพ เพื่อแสดงให้ภาครัฐเห็นว่าศูนย์สามารถผลิตชิพภายในประเทศเอง
ลดค่าใช้จ่าย รวมถึงสร้างผลงานที่วัดได้ หากรัฐจะสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่อง
ล่าสุด
ศูนย์อยู่ระหว่างการส่งเรื่องเพื่อขออนุมัติงบประมาณกรอบวงเงิน 770 - 980 ล้านบาท
ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเทคโนโลยีการผลิตชิพสมาร์ทการ์ด และเครื่องจักร ผลิตเวเฟอร์แฟบชนิดใด
ระหว่างขนาด 6 นิ้ว 0.5 - 1 ไมครอน
หรือ 8 นิ้ว 0.35 ไมครอน โดยเวเฟอร์ขนาด
6 นิ้ว สามารถรองรับการผลิตเวเฟอร์ได้ 6 ล้านชิพต่อปี ส่วนขนาด 8 นิ้ว จะผลิตเพิ่มได้ 1.7 เท่า ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายใน 1-3 สัปดาห์ข้างหน้า "ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ โครงการเคยมีแผนใช้งบจัดซื้อเครื่องจักรจากธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น
(เจบิค) แต่ไม่ได้รับอนุมัติแผนกู้เงินที่เสนอไปเมื่อปีที่ผ่านมา
เพราะติดเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาการพิจารณาที่ล่าช้า" นายอิทธิ
กล่าว
ยื่นเงื่อนไขซื้อเวเฟอร์ไทย
ส่วนการยื่นของบครั้งใหม่ จะระบุเสนอเงื่อนไขกำหนดให้พันธมิตรเทคโนโลยีที่ประมูลงานได้
ต้องรับซื้อเวเฟอร์ที่ผลิตกึ่งหนึ่งด้วย โดยอีกกึ่งหนึ่งจะเป็นการผลิตป้อนให้กับโครงการภาครัฐ
เพื่อให้พันธมิตรนั้นถ่ายทอดเทคโนโลยีเต็มที่ ซึ่งการติดต่อเจ้าของเทคโนโลยีชิพบางรายได้เจรจาถึงแนวคิดดังกล่าวแล้ว
ทั้งอินฟินิออน ฮิตาชิ โตชิบา โอกิ เอสที ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกัน
ก็ใช้งบประมาณที่ยังเหลืออยู่ 124 ล้านบาท จากวงเงิน 600
ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่ได้รับจาก ครม. ตั้งแต่ปี 2538 จัดซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมอีก 7 รายการ
โดยจะเป็นเครื่องจักรเสมือนใหม่ (Refurbished Machine) 4
รายการ อีก 3 รายการเป็นเครื่องจักรใหม่
ซึ่งจะเปิดขายซองเดือนพฤษภาคม และเปิดซองราคา รวมถึงประกาศผลในเดือนมิถุนายนนี้
จากก่อนหน้านี้ใช้งบ 240 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารศูนย์ และอีก 170 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักร และ 65 ล้านบาท เป็นค่าใช้ด้านปฏิบัติการทั่วไป
"เมื่อได้เครื่องจักร
จะทำให้ศูนย์สามารถผลิตเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้ว ระดับ 0.5-1
ไมครอน เพื่อใช้บริการมหาวิทยาลัย และภาคเอกชน ผลิตอาร์เอฟไอดีชิพการผลิตซิมการ์ดที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่
รวมถึงสมาร์ทการ์ดชิพด้วย" นายอิทธิ กล่าว อย่างไรก็ตาม
หากไม่ได้รับงบจัดซื้อจาก ครม. ศูนย์จะยังสามารถให้บริการผลิตเวเฟอร์
ที่เป็นเทคโนโลยีระดับ 1 ไมครอน ได้จากเครื่องจักรที่มีอยู่
และอีก 7 รายการ ที่จะจัดซื้อ โดยชิพ 1
ไมครอน จะใช้ในนาฬิกา อุปกรณ์นับจำนวน เครื่องคิดเลข เป็นต้น แต่ถ้าได้เครื่องจักรครบและทันสมัย
จะผลักดันให้ทำเทคโนโลยีเวเฟอร์ขนาด 6 นิ้ว ต่ำถึงระดับ 0.5 ไมครอนได้
คุ้มทุนใน 5 ปี
ทั้งนี้การผลิตชิพในประเทศจะมีประโยชน์ที่ทำให้รัฐประหยัดงบประมาณลงกว่า
30% จากต้นทุนชิพบัตรละ 65 บาท
แต่ถ้านำเข้าบัตรต่างประเทศต้นทุนราวบัตรละ 100 บาท ซึ่งเมื่อคำนวณจากกำลังผลิตเครื่องจักรของศูนย์
หากได้รับงบประมาณจะผลิตได้ 6 -10 ล้านชิพต่อปี
รวมมูลค่าปีละ 390-650 ล้านบาท ขณะรัฐต้องการบัตร 14 ล้านบัตรต่อปี ดังนั้น หากรัฐลงทุนครั้งนี้
เมื่อคำนวณรวมค่าเสื่อมเครื่องจักรก็จะคุ้มทุนภายใน 5 ปี ทั้งนี้
รัฐต้องให้คณะกรรมการบูรณาระบบการทะเบียนแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบการทำโครงการบัตรประชาชนตามนโยบายอี-ซิติเซน กำหนดสเปคบัตร ตัวระบบ (ซิสเต็ม) ที่ส่วนหนึ่งอาจจะระบุว่า ให้ใช้ชิพในประเทศ เพื่อให้เอกชนที่ชนะการประมูลบัตรป้อนงานให้กับศูนย์
และน่าจะเป็นเอกชนรายเดียวกับพันธมิตรเทคโนโลยีของศูนย์ด้วยให้เอกชนที่ชนะการประมูลได้ใช้เทคโนโลยีในประเทศสอดคล้องกับงบประมาณที่รัฐให้กับศูนย์
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 พฤษภาคม
2546
|