ไทยเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน สารพัดยักษ์แห่ผุดโรงงาน
รายงาน
หลังจากเดินหน้าเข้าสู่เวทีการค้าโลก
(WTO) "จีน" ได้กลายเป็นประเทศที่ได้รับการรุมล้อมจากนักลงทุนมากที่สุด
เรียกได้ว่าเนื้อหอมที่สุดในเอเชียเลยก็ว่าได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกันตลาดภายในประเทศที่ใหญ่โตมโหฬาร
ยิ่งทำให้จีนมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าทุกๆ ประเทศในเอเชีย แต่ในห้วงที่จีนกำลังก้าวย่างอย่างมังกร
ในสายตาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก "ไทย"
กลับเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในแถบอินโดจีนเช่นกัน !!! โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนอย่างเครื่องซักผ้า กลายเป็นสินค้าที่หลายค่าย
ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ต่างเร่งสร้างฐานการผลิตในไทยกันเป็นแถว
ล่าสุดก็ "อีเลคโทรลักซ์"
จากฝั่งยุโรป
เฟรดริก ราเมน ประธาน บริษัท อีเลคโทรลักซ์ เฮาส์โฮล แอปพลายแอนซ์
อีสต์ เอเชีย จำกัด ซึ่งดูแล 10 ประเทศทั่วภูมิภาคนี้ ประกาศชัดเจนว่าจะเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องซักผ้าฝาหน้าในไทย
ด้วยเงินลงทุนถึง 500 ล้านบาท ด้วยเหตุผลที่ว่า อีเลคโทรลักซ์มียอดขายเครื่องซักผ้าในไทยสูงถึงราว
1,000 ล้านบาท จากยอดขายรวมของภูมิภาคนี้ทั้งหมด 120 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 4,800 ล้านบาท นำหน้ากระทั่งอินโดนีเซีย
มาเลเซีย และเกาหลี นอกจากจีนแล้ว อีเลคโทรลักซ์มองว่า
ไทยนี่แหละที่เหมาะสมต่อการเป็นฐานการผลิตเครื่องซักผ้าฝาหน้า รวมไปถึงสินค้าตัวอื่นๆ
อาทิ เครื่องดูดฝุ่นและเตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้
นับเป็นโรงงานแห่ง ที่ 7 ของอีเลคโทรลักซ์ นอกจากอีเลคโทรลักซ์
ยังมี "ซีเมนส์" คู่ฟัดโดยตรงกับอีเลคโทรลักซ์ก็ประกาศสร้างฐาน
การผลิตเครื่องฝาหน้าในไทยไปก่อนแล้ว ส่วน "แอลจี"
ยักษ์เกาหลี คู่ฟัดโดยตรงกับ "ซัมซุง"
และแชมป์เครื่องซักผ้าฝาบน ด้วยส่วนแบ่งตลาด 23% ก็มีฐานการผลิตเครื่องซักผ้าในไทยเช่นกัน
ส่วน "เวิร์ลพูล" ถึงแม้จะประกาศย้ายสำนัก งานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสิงคโปร์มาอยู่ในไทย
ซึ่งการย้ายครั้งนี้เหมือนเป็นนัยบางอย่างในตลาดเครื่องซักผ้าเมืองไทย แม้ว่า
"ราจีฟ เวอร์มา" กรรมการผู้จัดการ
บริษัทเวิร์ลพูล ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะปฏิเสธการลงทุนสร้างโรงงานในไทยก็ตาม
โดยเขาให้เหตุผลว่า ธุรกิจของเวิร์ลพูลยังเล็กเกินไป แต่ก็ยอมรับว่ายอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเวิร์ลพูลในไทยในปี
2546 จะมีมูลค่าถึง 1,000 ล้านบาท
จากยอดขายรวมทั้งภูมิภาค 2,000 ล้านบาท และคาดด้วยว่าตลาดเครื่องซักผ้าโดยรวมจะเติบโต
15% ของมูลค่าตลาดรวม 6,000 ล้านบาท
ในขณะที่เครื่องปรับอากาศและตู้เย็นก็มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนก็มองไทยเป็นฐานการผลิต
โดยเฉพาะแบรนด์ "ไฮเออร์" ซึ่งมีแผนจะร่วมทุนในส่วนโรงงานผลิตตู้เย็นของไดสตาร์และแดวู
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึงเหตุผลในการขยายฐานการผลิตในไทย
แต่ละค่ายต่างให้เหตุผลว่า "ต้องการใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น"
ทั้งๆ ที่ปัจจัยหลักของการสร้างฐานการผลิตมีมากกว่านั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นเพราะไทยกำลังจะพิจารณาลดภาษีให้กับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นกรณีพิเศษ
เริ่มต้นจากทีวีและสายใยแก้ว (ไฟเบอร์ออปติก) ตามด้วยเครื่องเล่นวีซีดี ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า
ส่งผลให้ภาษีนำเข้าวัตถุดิบมาอยู่ที่ 0% ส่วนสินค้านำเข้าสินค้าสำเร็จรูปภาษีจะเหลือเพียง
5% ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟต้า)
ในปี 2546 นอกจากกำแพงภาษีแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะเพราะไทยมีทำเลที่เหมาะสมแก่การผลิตและส่งออกมากกว่าประเทศอื่นๆ
รวมไปถึงภาวะการ เมืองที่มั่นคงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน บวกกับค่าเงินบาทที่เริ่มมีเสถียรภาพ
เป็นกุญแจที่คลายความสงสัยว่า อีกไม่นานเราจะได้เห็นโรงงานตู้เย็นและเครื่องซักผ้าผุดในไทยอีกหลายแห่ง
เพราะกำแพงภาษีที่โดนทลายไปนั่นเอง
แต่ถึงกระนั้น เมื่อย้อนรอยไปในปี 2544-2545
ไทยกลับเป็นตลาดที่ฝั่งเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มภาพและเสียง (AV) หลายค่ายทยอยกันย้ายโรง งานไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างอินโดนีเซียและมาเลเซียมากที่สุด
ซึ่งค่ายที่ย้ายไปแล้วก็มี มิตซูบิชิ เอ็นอีซี ฟิลิปส์ ซันโย และโตชิบา
เป็นรายล่าสุด
ส่วนเหตุผลการย้ายโรงงานคราวนั้น ทุกค่ายต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า
ภายใต้กรอบข้อตกลงของอาฟต้า กำหนดให้โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะมาผลิตในไทยสูงถึง
10-30%
แต่ภาษีนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าสำเร็จรูปกลับกำหนดให้ลดกำแพงภาษีเหลือ 10% ในปี 2545 และ 5% ในปี 2546
ความเหลื่อมล้ำของภาษีทำให้ต้องปิดโรงงานในไทยไปในที่สุด ทว่าปี 2546
กลับกลายเป็นช่วงจังหวะที่ "ไทย"
ถูกรุมล้อมให้เป็นฐานการผลิตใหญ่ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
(HA) และเนื้อหอมที่สุดในแถบอินโดจีน
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2546
|