ซอฟต์แวร์ปลอดภัยรุกตั้งสำนักงานสาขาไทย
ได้แรงหนุนเวบเซอร์วิส -ระบบบริหารงานเฉพาะบุคคล
นักวิเคราะห์เชื่อตลาดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยโตต่อเนื่อง จากแรงหนุนเวบเซอร์วิส
ไอเดนติตี้แมเนจเม้นท์ และการใช้งานเครือข่ายไร้สาย เฉพาะตลาดเอเชียจะเติบโตเฉลี่ย
34% บริษัทต่างประเทศดาหน้าตั้งสาขาไทย
นายไบรอัน เบอร์ค นักวิเคราะห์อาวุโส
บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือไอดีซี กล่าวว่า
แนวโน้มในช่วง 4 ปีนี้ (ปี 2546-2549) ตลาดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย
(ซิเคียวริตี้ ซอฟต์แวร์) มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในการใช้งานด้านเวบ เซอร์วิส, ระบบบริหารงานเฉพาะบุคคล (ไอเดนติตี้ แมเนจเม้นท์)
และการประยุกต์ใช้งานระบบเครือข่ายไร้สาย ขณะที่ในตลาดเอเชียแปซิฟิกนั้น
มีประมาณการว่าจะขยายตัวเฉลี่ยราว 34% หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า
5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2549
ด้วย เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น และการลงทุนใหม่ๆ ด้านอี-คอมเมิร์ซ ทั้งในภาครัฐและเอกชน
ด้านนายคอลลีน เกรแฮม นักวิเคราะห์จากการ์ทเนอร์
ดาต้าเควสท์ ระบุว่า ตลาดองค์กรกำลังมองหาเทคโนโลยีด้านระบบความปลอดภัย
ทั้งซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ระบบป้องกันตรวจจับการโจมตี (intrusions detection
systems) และไฟร์วอลล์ รวมทั้งสนใจเทคโนโลยีในการนำระบบไบโอเมตริกส์
และรูปแบบอื่น เข้ามาช่วยระบุตัวตนด้วย อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีดังกล่าวอาจยังไม่มีการใช้งานแพร่หลายก่อนปี
2546 เพราะติดปัญหาราคาที่ยังสูงอยู่ สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านระบบรักษาความปลอดภัย
ได้แก่ โทรคมนาคม ราชการ การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ และการเงิน ทั้งนี้
ผลพวงหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 ทำให้ภาครัฐและหน่วยงานด้านรักษาความมั่นคง
เพิ่มการลงทุนที่ตอบสนองต่อความกังวลสาธารณชนมากขึ้นด้วย
เจ้าของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส แห่บุกไทย
ในส่วนของประเทศไทยเอง
ตลาดระบบรักษาความปลอดภัยเองก็ตื่นตัวตามไปด้วย ซึ่งนอกเหนือจากบริการระบบซิเคียวริตี้แล้ว
ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา มีเจ้าของเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ทยอยเข้ามาจัดตั้งสำนักงานในไทยไม่ต่ำกว่า
3
ราย ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันในไตรมาสแรกปีที่แล้ว จากเดิมที่เคยทำตลาดผ่านตัวแทนในไทยโดยไม่มีสำนักงาน
นายชัชวาล จิตติกุลดิลก
ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็ทเวอร์ค แอสโซสิเอท ซอฟท์แวร์ พีทีอี ลิมิตเต็ด
สำนักงานสาขาประเทศไทย เจ้าของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส "แมคอาฟี" กล่าวว่า บริษัทมองหาโอกาสการเติบโตระบบซิเคียวริตี้ในไทย โดยเตรียมขยายฐานรายได้เข้าสู่ฮาร์ดแวร์
ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่าย กลั่นกรองเนื้อหา จากเดิมที่มีเพียงแอนตี้ไวรัสซอฟต์แวร์
เนื่องจากปัจจุบัน องค์กรส่วนใหญ่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายไว้แล้ว แต่ต้องเตรียมความพร้อมอุดช่องโหว่ระบบ
นอกจากนี้ ยังมองลู่ทางขยายพันธมิตร เพื่อเจาะตลาดราชการและการศึกษาเพิ่ม จากเดิมที่มีตลาดหลักในกลุ่มเอสเอ็มอี
ถึงองค์กรขนาดใหญ่ อีกทั้งจะสร้างความสัมพันธ์กิจกรรมสนับสนุนการตลาด
ลงไปในพันธมิตรระดับสอง ประมาณ 10-20 ราย
ควบคู่ไปกับการจัดรายการส่งเสริมการขาย
ขยายออกนอกตลาดออนไลน์
ด้านนายกันต์ เกิดแก้ว ผู้จัดการประจำประเทศ
บริษัทแพนด้า ซอฟต์แวร์ (ประเทศไทย) จำกัด สำนักงานใหญ่สเปน
เจ้าของเทคโนโลยีแอนตี้ไวรัส กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทแม่ตัดสินใจจัดตั้งสำนักงานแห่งนี้
เพราะเห็นโอกาสของตลาด ที่มีลูกค้าสนใจสั่งซื้อซอฟต์แวร์ของบริษัทผ่านอินเทอร์เน็ต
แต่ยังขาดความมั่นใจด้านการสนับสนุนหลังการขาย โดยเฉพาะลูกค้าองค์กร และมีบทบาทด้านสนับสนุนการขายและตลาด
รวมถึงเทคนิค
ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นสร้างชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์ "แพนด้า"
ให้เป็นที่รู้จัก และส่งข้อมูลข่าวสารด้านไวรัสใหม่ๆ ที่ให้ลูกค้า
โดยจำหน่ายผ่านพันธมิตร โดยจะแต่งตั้งช่องทางการตลาด ทั้งในลักษณะผู้จัดจำหน่าย
และผู้แทนค้าปลีก
ทางด้านผลิตภัณฑ์หลักที่ทำตลาดอยู่ ได้แก่
ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และกลาง ในระดับเครือข่ายแบบกรุ๊ปแวร์ ทั้งของโลตัสโน้ตส์/โดมิโน
และเอ็กซ์เชนจ์ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีฐานผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้การใช้งานเติบโตตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทชูจุดเด่นจากคู่แข่งในตลาดเดียวกัน โดยเสนอผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันในโปรแกรมโอเพ่นซอร์ส
ซึ่งรวมอยู่ในชุดซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร
เข้าสู่การให้บริการ
นายชัชวาลกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแนวโน้มจะนำเสนอบริการรับบริหารจัดการระบบแอนตี้ไวรัส
และซิเคียวริตี้ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (AsaP) ซึ่งเปิดตัวไปในอเมริกาแล้ว เพื่อเปิดกว้างให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรขนาดเล็กเข้ามาใช้บริการ
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นสำหรับผู้ใช้นั้น ไม่ต้องมีทีมงานที่มาดูแลงานโดยเฉพาะ หรือติดตามอัพเกรดและอัพเดทซอฟต์แวร์
แต่จะเสียค่าใช้บริการเป็นรายปี หรือรายเดือน ขณะที่บริษัทก็สามารถขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้น
และสร้างช่องทางรายได้ทดแทนรายได้ที่ลดลงจากค่าไลเซ่นซอฟต์แวร์ ขณะที่
นายกันต์กล่าวว่า บริษัทมีแผนเจาะตลาดองค์กรเพิ่ม โดยอาจเสนอโปรแกรมสนับสนุนให้ผู้ใช้บริการ
เปลี่ยนการใช้งานจากโปรแกรมเดิมมาเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท (สวอป)
รวมถึงบริการบำรุงรักษา เช่น ให้สิทธิใช้ซอฟต์แวร์ฟรี เมื่อซื้อบริการบำรุงรักษากับบริษัท
หรือให้ส่วนลดราคาไลเซ่นซอฟต์แวร์ ตามระยะเวลาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ลูกค้าใช้อยู่ เพื่อดึงให้ลูกค้าอัพเกรดโดยซื้อสินค้าของบริษัทแทน
ลดราคาดึงดูดลูกค้าทั่วไป
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนปรับลดราคาซอฟต์แวร์
สำหรับกลุ่มผู้ใช้ตามบ้าน ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดที่มีปัญหาในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในอัตราสูงถึง
79% โดยทดสอบตลาดด้วยการปรับราคาเหลือต่ำกว่าไลเซ่นละ 500 บาท จากราคา 850 บาท รวมทั้งมีแผนปรับลดราคากว่า 50% สำหรับลูกค้าในกลุ่มสถาบันการศึกษา และราชการ "การแข่งขันของซอฟต์แวร์ด้านนี้ในตลาดไทยมีเพียง 4-5
รายเท่านั้น เทียบกับยอดขายเฉลี่ยของเครื่องคอมพิวเตอร์เฉลี่ยที่ตกปีละเกือบ 600,000 เครื่อง รวมถึงมีฐานผู้ใช้เครื่องเก่าอยู่ด้วย
ซึ่งถ้าไทยลดอัตราการละเมิดลงเหลือ 50% ก็จะทำให้ตลาดมีมูลค่าสูงถึง
1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มูลค่าตลาดรวมอยู่ในระดับหลายร้อยล้านบาท"
นายกันต์ กล่าว
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 15 มกราคม 2546
|