ซัมซุงทุ่มลงทุนจีนสุดตัว ฟุ้งกำไรมโหฬาร 7 พันล.
'ซัมซุง' หันทุ่มลงทุนในตลาดจีน หวังใช้เป็นฐานผลิตเพื่อการส่งออกที่สำคัญในอนาคต
เผยปีนี้ลงไปแล้ว 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐขยายโรงงาน
ล่าสุดผนึกกำลังไชน่า ยูนิคโฮมขยายฐานผลิตมือถือระบบซีดีเอ็มเออีก 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศเล็กๆ
ควบคู่กันไปด้วย มั่นใจปีนี้ฟันกำไรได้ถึง 7,000 ล้านเหรียญ
นายอิล ออง ซาง รองประธานด้านการสื่อสารองค์กร
บริษัท ซัมซุง อิเล็ก ทรอนิกส์ จำกัด ประเททศเกาหลี
เปิดเผยถึงทิศทางของกลุ่มซัมซุงว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น
จากปัจจุบันที่มีโรงงานแล้วถึง 10
แห่ง เพราะมองว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีบทบาทสูงในตลาดโลก โดยปีนี้กลุ่มซัมซุงได้ลงทุนไปแล้วประมาณ
2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนของซัมซุง
อิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนด้านโรงงานเป็นหลัก
โดยเฉพาะโรงงานผลิตชิ้นส่วนด้านไอทีและโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตประเทศจีนจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่สำคัญสำหรับตลาดส่งออกไปทั่วโลก
'ตอนนี้เราได้เปลี่ยนกลยุทธ์การผลิตและการตลาด ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจทางด้านไอที
เพราะเชื่อว่าธุรกิจด้านไอที และโทรศัพท์เคลื่อนที่จะมีอัตราการเติบโตที่สูงมากในประเทศจีน
และล่าสุดนี้ทางซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ได้เซ็นสัญญากับไชน่า ยูนิคโฮม มูลค่ารวมประมาณ
400 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อขยายฐานการผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบซีดีเอ็มเอ
ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาทางด้านธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว' นายชางกล่าว และว่า
ไม่เพียงแต่ประเทศขนาดใหญ่เท่านั้นที่กลุ่มบริษัทให้ความสำคัญ แต่สำหรับประเทศขนาดเล็กบริษัทก็ให้ความสำคัญและลงทุนอย่างต่อเนื่อง
เช่น ประเทศไทย บริษัทก็กำลังมีแผนที่จะลงทุนเปิดโรงงานสำหรับผลิตไมโครเวฟเพิ่มขึ้นอีก
1 แห่งด้วยเช่นกัน
จากเดิมที่โรงงานในประเทศไทยเป็นฐานผลิตสินค้าประเภทโทรทัศน์, เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, เครื่องปรับอากาศ
และมอนิเตอร์สำหรับทำตลาดในประเทศและส่งออกเท่านั้น
'แผนกที่กำลังจะแข็งแรงขึ้นมา คือ กลุ่มเทเลคอมและโทรศัพท์เคลื่อนที่
ที่ผ่านมาบริษัทสามารถ ทำยอดขายใน 2 กลุ่มนี้รวมกันได้ถึง 30% ของยอดขายทั่วโลก' นายชางกล่าว และว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีความแข็งแรงในทุกตลาดทั่วโลก
ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากที่ผ่านมาแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะถดถอย บริษัทอื่นๆ
ได้รับผลกระทบทางด้านยอดขาย แต่บริษัทซัมซุงฯกลับเป็นบริษัทที่สามารถเติบ
โตได้และมีผลกำไร ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าบริษัทมีแผนการตลาดและสินค้าที่มีความสมดุลในแต่ละตลาดทั่วโลกอย่างดี
โดยที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายในเอเชีย 30%, ในสหรัฐอเมริกา 30%,
ในยุโรป 30% และจากที่อื่นๆ อีกประมาณ 10% ดังนี้ หากตลาดใดตลาดหนึ่งประสบปัญหาบริษัทก็สามารถทำรายได้ในภูมิภาคอื่นๆ
เข้ามาเสริมได้
นายชางยังกล่าวถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาด้วยว่า บริษัทสามารถทำกำไรได้แล้วถึง
3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะสามารถทำกำไรได้สูงถึง
7,000 ล้านเหรียญสหรัฐได้แน่นอน ซึ่งจะเป็นปีที่กลุ่มซัมซุงมีกำไรสูงสุด
'สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ซัมซุงมีการเติบโตอย่างรวด เร็วนั้นมาจากแนวโน้มของตลาดที่พัฒนาจากระบบแอนะล็อกมาเป็นดิจิทัล
ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เราพัฒนาล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ทำให้เรากลายเป็นผู้นำของตลาดดิจิทัลไปโดยปริยาย'
นายชางกล่าว และว่า
และไม่เพียงแต่ผลประกอบการที่มีกำไรเท่านั้น แต่แบรนด์ของซัมซุงยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากมูลค่าแบรนด์ 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2543 เพิ่มเป็น 6,400 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2544 ซึ่งอยู่ในอันดับ 42 ของโลก และมีมูลค่าเพิ่มเป็น 8,300 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2545 พร้อมได้ขยับอันดับแบรนด์ของโลกมาอยู่ที่อันดับ
34 ซึ่งนับว่าเป็นแบรนด์เอเชียที่ได้รับการตอบรับได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นางสาวโซเนีย คิม ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์
กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ปัจ จุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มสินค้าด้านดิจิทัล
มีเดีย (digital media network) 29%, สื่อสารโทรคมนาคม (telecommunication
network) 28%, อุปกรณ์ต่อเชื่อมต่างๆ (divice solution
network) 27% และอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน (digital appliance
network) 10% โดยในกลุ่มดิจิทัลมีเดียและกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปัจจุบัน
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2545
|