เสนอครม.ทุ่มงบฯหมื่นล.ปั้นไทยสู่ไฮเทค พัฒนา "นาโนเทคโนฯ" สร้างรายได้แสนล.
เปิดแผนแม่บทการพัฒนานาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ทุ่มงบฯ 1.3 หมื่นล้านปั้นไทยเป็น 1 ใน 4
ผู้นำเอเชีย สร้างรายได้ 1.3 แสนล้าน หรือ 1% ของจีดีพี มุ่งพัฒนาวัสดุนาโนเทคโนโลยี นาโนชีวภาพ และนาโนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สิ่งทอ เกษตรและอาหาร โอท็อป การแพทย์ และสิ่งแวดล้อม
รศ.ดร.สุพจน์ หาญหนองบัว
รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ 1 ในคณะทำงานร่างแผนแม่บทการพัฒนานาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ
เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
แผนแม่บทนาโนฯได้ดำเนินการแล้วเสร็จมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีเรื่องเร่งด่วนเสนอคณะรัฐมนตรี
(ครม.) มาก ทำให้การเสนอแผนแม่บทนาโนเทคโน
โลยีต่อ ครม.ต้องเลื่อนไประยะหนึ่ง แต่ตนเชื่อว่าน่าจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้เร็วๆ
นี้ โดยแผนดังกล่าวจะใช้เป็นการกำหนดกรอบยุทธศาสตร์และทิศทางในการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศในช่วง
10 ปี ระหว่างปี 2547-2556
เนื่องจากนาโนเทคโนโลยีเป็นของใหม่ที่ต้องใช้การวิจัยและการพัฒนาและต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานในการวิจัยขั้นสูง
รวมทั้งทรัพยากรของประเทศไทยมีจำกัด ทำให้ไทยจะต้องจัดลำดับความสำคัญและเลือกลงทุนในสาขาที่เฉพาะเจาะจง
(niche areas) โดยจะมุ่งเน้น 3 ด้าน
คือ วัสดุนาโน (nanomaterials) เทคโนโลยีนาโนชีวภาพ
(nanobiotechnology) และนาโนอิเล็กทรอนิกส์ (nanoelectronic)
โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 7 อุตสาหกรรมหลัก
ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร ยานยนต์ เคมี ปิโตรเคมีและสิ่งทอ
เกษตรและอาหาร สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สุขภาพและการแพทย์
พลังงานและสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมจะเน้นการลงทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์พัฒนาเจาะจง
6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ในด้านเซ็นเซอร์ อุปกรณ์นาโนอิเล็กทรอนิกส์
ผลิตภัณฑ์ในระบบนำส่งยาและสารสกัดสมุนไพร วัสดุเคลือบนาโน วัสดุดูดซับกรอง และตัวเร่งปฏิกิริยา
และกลุ่มวัสดุสาร ประกอบแต่ง
ด้าน รศ.ดร.ปริทรรศน์ พันธุบรรยงค์
ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนานาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า
เป้าหมายหลักของการพัฒนาตามร่างแผนแม่บทการพัฒนานาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ มุ่งให้ไทยผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีคิดเป็น
1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
มูลค่าประมาณ 130,000 ล้านบาท ในระยะเวลา
10 ปี และช่วยยกระดับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของคนไทยให้อยู่ในระดับมาตรฐานโลกด้วยนาโนเทคโนโลยี
โดยการพัฒนาวัสดุ อุปกรณ์ และระบบการแพทย์ ไม่น้อยกว่า 20
รายการ รวมทั้งตั้งให้ไทยอยู่ในระดับแกนนำของการศึกษาและวิจัยนาโนเทคโนโลยีของภูมิภาคอาเซียน
"การจะไปถึงเป้าหมายได้นั้นจะต้องกำหนดงบประมาณในการลงทุนจากภาครัฐ
9,100 ล้านบาท ใน 10 ปี
ดูเหมือนว่าตัวเลขดังกล่าวจะมาก แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้หากรัฐบาลยังคงบัญชีสมดุล"
รศ.ดร.ปริทรรศน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งบประมาณที่ได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทการพัฒนานาโนฯจำนวน
9,100 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของงบฯการลงทุนทั้งหมด
แต่อีก 30% จะเป็นงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนประมาณ
3,900 ล้านบาท รวมใน 10 ปีคาดว่าจะมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีในไทยมูลค่ารวม
13,000 ล้านบาท
ในแผนยังกำหนดสัดส่วนในการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน
1.การลงทุนการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม เช่น
อุตสาหกรรมสิ่งทอ เซรามิก 40% 2.การพัฒนาโดยใช้นาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เข้มข้นมูลค่าเพิ่มสูง
และขยายตลาดเพิ่มเติม โดยยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ไบโอชิป เซลล์แสงอาทิตย์
40% 3.การสร้างและสั่งสมองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาและการแข่งขันของอุตสาหกรรมในอนาคตซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนานานถึง
10 ปี หรือมากกว่านั้น เช่น ระบบส่งยา 20%
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นจะต้องดึงดูดทรัพยากรจากต่างประเทศ โดยการกำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านนาโนเทคโนโลยีที่ชัดเจนโดยให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ใช้นาโนเทคโนโลยีในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายหลักของประเทศ และผลักดันให้เกิดกลุ่มบริษัทนาโนเทคโนโลยีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เพื่อช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและนอกประเทศ และรัฐบาลจำเป็นที่ต้องพัฒนาบุคลากรอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากปัจจุบันในไทยมีบุคลากรด้านนี้เพียง 200 คน ในกลยุทธ์จึงตั้งเป้าที่จะพัฒนาบุคลากรวิจัยรวมนาโนเทคโนโลยีให้ได้ถึง
2,500 คน อาทิ ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยต่างๆ สร้างหลักสูตรร่วมกันในด้านนาโนเทคโนโลยีในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
นอกจากนี้ ยังต้องมีการทำงานโดยใช้เครือข่ายวิสาหกิจแบบหลายมิติ
ทั้งด้านวิชาการ ธุรกิจ และการลงทุน เพื่อสามารถนำจุดแข็งของแต่ละมิติมาเสริมสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พอเพียงในลักษณะคลัสเตอร์
โดยกำหนดเครือข่ายออกเป็น 7 กลุ่มหลัก กลุ่มอาหาร
กลุ่มสุขภาพ กลุ่มพลังงานและสิ่งแวดล้อม กลุ่มพัฒนาสินค้าโอท็อป กลุ่มยานยนต์ กลุ่มไมโครอิเล็กทรอนิกส์
และกลุ่มสิ่งทอ และสร้างเครือข่ายระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชน โดยสร้างศูนย์วิจัยเครือข่ายในมหาวิทยาลัยในประเทศและสนับสนุนให้เกิดการวิจัยร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน
รวมทั้งสร้างเครือข่ายการวิจัยระหว่างประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม หากจะพิจารณาถึงงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานาโนเทคโนโลยีตามแผนแม่บทในการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของไทยแล้วอาจถือได้ว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทั่วโลก
เฉพาะในปี 2546 สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ใช้งบประมาณในการพัฒนานาโนเทคโนโลยีราว
2-3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ประเทศในเอเชียก็ลงทุนมากเช่นกัน
ไต้หวันกำหนดให้มีการลงทุน 25,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2546 เกาหลีลงทุน 80,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 จีนลงทุน 10,000-12,000 ล้านบาท ในเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2544 สิงคโปร์ลงทุน 600 ล้านบาท ในปี 2546 และมาเลเซียลงทุน 10,400 ล้านบาท ในเวลา 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2544
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 30 มิถุนายน 2547
|