รายงาน : นักวิเคราะห์ชี้อุตสาหกรรมมือถือส่อเค้าถดถอยทั่วโลก
ชิคาโก - นักวิเคราะห์เผยผลประกอบการไตรมาสสองสะท้อนจุดอับตลาดมือถือ
ระบุ เหตุเศรษฐกิจซบเซาบีบผู้บริโภคลดกำลังซื้อ ขณะที่ผู้ผลิตแข่งหั่นราคาดุเดือดหวังแย่งส่วนแบ่งตลาด
ด้านโนเกียนำทีมปรับลดตัวเลขประกอบการขนานใหญ่ ส่วนโซนี่ อีริคสันสวนกระแสเผยยอดขายเครื่องจีเอสเอ็มเพิ่ม
85%
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุดที่ผู้ผลิตมือถือยักษ์ใหญ่
4
ราย จากทั้งหมด 5 ราย ได้เปิดเผยไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น
สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังตกอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันกันลดราคาอย่างดุเดือด
นายจอร์มา ออลลิล่า
หัวหน้าฝ่ายบริหารของบริษัทโนเกีย เจ้าตลาดอันดับหนึ่ง กล่าวว่า ความซบเซาทางเศรษฐกิจทำให้ผู้บริโภคพากันลังเลใจที่จะซื้อมือถือรุ่นที่มีราคาแพงๆ "ผลประกอบการโนเกียส่งสัญญาณให้เห็นว่าส่วนต่างทางการตลาดกำลังลดน้อยลง
นั่นหมายความว่าการแข่งขันในตลาดมือถือจะต้องดุเดือดมากยิ่งขึ้น และผมมั่นใจว่าเราจะได้เห็นการลดราคาขนานใหญ่จากผู้ผลิตแทบทุกราย"
นายชอว์น แคมป์เบลล์ หัวหน้าบริษัท แคมป์เบลล์ แอสเสท เมเนจเมนท์
กล่าว
เช่นเดียวกับโนเกีย ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ
อันได้แก่ บริษัท โมโตโรล่า อิงค์., บริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์,
บริษัทโซนี่ อีริคสัน และบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อส่วนแบ่งตลาดของตน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายเริ่มมีอำนาจในการกำหนดราคาจำหน่ายมือถือมากขึ้น
ส่วนในประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงสุดในอุตสาหกรรมนั้น ผู้ผลิตท้องถิ่นก็ใช้กลยุทธ์หั่นราคากันอย่างดุเดือดจนทำให้ผู้ผลิตต่างชาติไม่สามารถเข้าแข่งขันได้
บริษัท โนเกีย
ซึ่งได้รายงานผลกำไรในช่วงไตรมาสที่ 2 ไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า
รายได้ของตนเพิ่มขึ้นเพียง 2%
แม้ยอดจำหน่ายจะเพิ่มสูงขึ้นราว 14% พร้อมเตือนว่า
การแข่งขันด้านราคา และภาวะเงินดอลลาร์อ่อนตัวจะทำให้อัตราการเติบโตของไตรมาสที่ 3 สูงไม่ถึง 10% ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักวิเคราะห์
ให้ความเห็นว่า หากแม้แต่ผู้นำอุตสาหกรรมอย่างโนเกีย ยังคาดว่า
ตนจะมีส่วนต่างผลกำไรลดลง ผู้ผลิตรายอื่นที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่ามาก น่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่า
ด้านบริษัท โมโตโรล่า ผู้ผลิตอันดับสอง
รายงานว่า ยอดจำหน่ายมือถือประจำไตรมาสที่ 2 ของตนลดลงถึง 13%
ขณะที่บริษัท ซัมซุง แห่งเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า สามารถจำหน่ายมือถือไปได้ราว 12 ล้านเครื่อง ซึ่งน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ราว 1
ล้านเครื่อง และได้แต่ภาวนาว่า ตนจะยังสามารถรั้งตำแหน่งอันดับสามไว้ได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม
บริษัทร่วมทุนระหว่างญี่ปุ่น-สวีเดน "โซนี่ อีริคสัน" กลับกลายเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่มีผลประกอบการน่าพอใจ
ทางบริษัท กล่าวว่า โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ของตนเริ่มติดตลาดแล้ว โดยยอดจำหน่ายมือถือระบบจีเอสเอ็มในปีนี้เพิ่มขึ้นถึง
85% จากตัวเลขเมื่อปีที่แล้ว
ทั้งนี้ บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์ ดาต้าเควสต์
คาดประมาณว่า อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งมีมูลค่าทั้งหมดสูงถึง 64,000
ล้านดอลลาร์นั้น มียอดจำหน่ายมือถือราว 423 ล้านเครื่องในปี 2545 ขณะที่ยอดขายในปี 2544 อยู่ที่ระดับ 412 เครื่อง และคาดว่าในปีนี้จะมียอดขายทั้งหมด 440
ล้านเครื่อง กระนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังคงไม่เชื่อมั่นต่อคำกล่าวอ้างของผู้ผลิตทั้งหลาย
ที่ยืนยันว่าตนจะต้องมีผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสหน้า "ในไตรมาสที่
3 ทั้งโนเกีย โมโตโรล่า และซัมซุง
จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ และต่างก็คาดหวังว่า ตนจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้น แต่ผมว่านี่คงไม่เกิดขึ้นแน่นอน"
นายไบรอัน โมดอฟฟ์ นักวิเคราะห์อุปกรณ์ไร้สายแห่งบริษัท ดอยช์ แบงก์
ซิเคียวริตี้ กล่าว พร้อมเสริมว่า การเพิ่มยอดขายอาจยังพอเป็นไปได้ แต่บริษัทเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาอย่างหนัก
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ ยังกล่าวอีกว่า
การแข่งขันในตลาดมือถือขณะนี้ดุเดือดมาก จนทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถขายมือถือรุ่นใหม่ๆ
ได้ หากไม่มีการลดราคาขนานใหญ่ไปพร้อมๆ กัน อาทิ ในสหรัฐอเมริกา บริษัท เวอริซอน
ไวร์เลส ต้องลดราคาโทรศัพท์โมโตโรล่ารุ่นใหม่ลงถึง 300 ดอลลาร์ จนมีราคาจำหน่ายเหลือเพียงแค่เครื่องละ
50 ดอลลาร์ ในช่วงเทศกาลวันหยุดปีที่แล้ว "อุตสาหกรรมนี้จะเริ่มอิ่มตัวขึ้นเรื่อยๆ ในอุตสาหกรรมที่เติบโตเต็มที่ คุณจะต้องทำให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขาจะต้องซื้อขายสินค้ารุ่นใหม่ๆ
อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่จัดการยากมาก" นางเจน ชวิก
หัวหน้าฝ่ายบริหารบริษัทที่ปรึกษาโชสเต็ก กรุ๊ป กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม 2546
|