กรมส่งเสริมใช้ไอทีหนุนเกษตรกร
ดันสร้างเนื้อหาระดับชาติ หนุนกลุ่มยุวเกษตรเป็นฐานเบื้องต้น
กรมส่งเสริมการเกษตร เตรียมเดินหน้าแผนแม่บท ระยะที่ 2 ใช้ไอทีหนุนเกษตรกร-เจ้าหน้าที่
ดันสร้างเนื้อหาระดับชาติ เบื้องต้นหนุนกลุ่มยุวเกษตรเป็นฐาน พร้อมใช้เครื่องมือ ช่วยเสริมศักยภาพ
เข้าถึงข้อมูลทั้งผ่านเน็ต, ซีดี-รอม,
คีออส อิงฐานศูนย์บริการทั่วประเทศเป็นจุดเชื่อมใช้งานหลัก
นางอมรรัตน์ สุพรรณชาติ
หัวหน้าฝ่ายประมวลผลข้อมูล กองแผนงาน กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า
หลังจากสิ้นสุดแผนงานระยะที่ 1 สิ้นปีนี้ กรมจะเริ่มแผนงานระยะที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2546-2548 เน้นสร้างองค์ความรู้บนพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลและเชื่อมโยงระบบงานผ่านโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์
(อี-กอฟเวิร์นเมนท์) อาทิ
การลงทุนในระบบคอลล์เซ็นเตอร์ผ่านการเอาท์ซอร์ซงานบางส่วนให้กับเอกชน โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ
ใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้ความรู้และตอบคำถามแก่เกษตรกร
และเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่รับปรึกษาข้อมูลการเกษตร
นอกจากการให้บริการข้อมูลและเวบบอร์ดในเวบไซต์
ซึ่งจะพัฒนาสู่การรายงานข้อมูลออนไลน์ลักษณะมัลติมีเดีย และแสดงผลแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ มีแผนลงทุนจัดทำตู้คีออส
ซึ่งอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี-รอม ใช้ถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรผ่านหน้าจอระบบสัมผัส ติดตั้ง ณ
ศูนย์บริการเทคโนโลยี โดยระยะแรกจะเริ่มเปิดให้บริการใน 80
จุดนำร่อง และขยายครอบคลุมศูนย์บริการที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกระจายครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป
ทั้งในต้นปี 2546
จะเสริมศักยภาพด้านระบบการเชื่อมต่อในองค์กร
โดยมีแผนลงทุนจัดทำระบบเครือข่ายเสมือน (วีพีเอ็น) ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อระหว่างสาขาย่อยในส่วนภูมิภาค
และช่วยให้หน่วยงานสามารถเรียกดูข้อมูลในองค์กรได้รวดเร็วขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณราว
14 ล้านบาท เพื่อการลงทุน
ระยะ 1 ทำข้อมูล
สำหรับโครงการระยะที่ 1 (พ.ศ. 2543-2545) ตามแผนแม่บทไอทีของกรม
เป็นการจัดทำฐานข้อมูลด้านการเกษตรต่อเนื่อง โดยเฉพาะฐานข้อมูลศูนย์ขยายพันธุ์พืช
จากข้อมูลของส่วนงานต่างๆ ที่ปัจจุบันกระจายอยู่ 24 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อเป็นข้อมูลด้านการใช้เมล็ดพันธุ์, การปลูกพืชของประเทศ
ให้ทราบถึงปริมาณและความสามารถในการคาดการณ์สินค้าคงคลัง นอกจากนี้
ยังมีแผนลงทุนปรับระบบงานในกรม เป็นสำนักงานอัตโนมัติ (ออฟฟิศ
ออโตเมชั่น) โดยปรับระบบการเก็บเอกสาร รวมทั้งกำลังจัดทำระบบสารบัญ
โดยโยงระบบคอมพิวเตอร์ระดับต่างๆ เข้าด้วยกัน อาทิ ระดับภาค 6 แห่ง ระดับจังหวัด และระดับอำเภอราว 800 แห่ง
ทั้งเน้นการอบรมข้าราชการ ตั้งแต่ระดับผู้บริการ ถึงระดับเกษตรจังหวัด
เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ระบบไอทีได้ ตั้งแต่พื้นฐานความรู้ด้านระบบสารสนเทศได้ "ตามแผนงานระยะที่ 1 เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
จะต้องสามารถทำเวบเพจได้เอง เพื่อเป็นระบบฐานข้อมูลรวม
โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นผู้สนับสนุน" นางอมรรัตน์กล่าว
แผนแม่บท 6 ขั้น
ทั้งนี้ แผนแม่บทดำเนินการด้านไอทีของกรม
มีขั้นตอนดำเนินงานในลักษณะคู่ขนาน 6 ขั้นตอนหลัก คือ ขั้นแรก
เตรียมความพร้อมชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถสร้างเนื้อหาขึ้นได้เอง
เป็นรากฐานการจัดทำระบบข้อมูลเกษตรกรเบื้องต้น ขั้นที่สอง จัดทำแผนระดับท้องถิ่น
ผ่านเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวบรวมข้อมูลท้องถิ่นเข้ามาในระบบฐานข้อมูลกลาง
เพื่อใช้วางแผนการดำเนินงาน เริ่มจาก 30 จังหวัดแรก
และจะขยายขอบข่ายการสร้างเนื้อหาในพื้นที่ไปสู่ฐานข้อมูลเนื้อหาระดับประเทศ
นำความรู้สู่เกษตรกร
ขั้นสาม ดำเนินงานตาม 3 แผนหลัก
ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยี, การลงทุนและสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเนื้อหาของกรมกับกรมวิชาการเกษตร
เพื่อให้เป็นระบบฐานข้อมูลเพื่อเกษตรกรเผยแพร่ผ่านเวบไซต์ www.doae.go.th ของกรม รวมทั้งจัดฝึกอบรมให้กับเกษตรกร
โดยกรมเริ่มนำข้อมูลดังกล่าวบันทึกลงในแผ่นซีดี-รอม
เพื่อแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่เพราะสะดวกในการพกพา และเป็นสื่อออฟไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าอินเทอร์เน็ต
ด้านการลงทุนนั้นจะแบ่งรายจ่ายหลักเป็น 2 ส่วน ได้แก่
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการเกษตรและการฝึกอบรม ขั้นตอนสี่
เพิ่มความสามารถในการใช้ไอที ให้สามารถจดทะเบียนและบริการเกษตรกรได้
เป็นโครงการจัดทำระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับตัวเกษตร
โดยหลักจะเป็นข้อมูลตามบัตรประชาชน, ข้อมูลพืชที่ปลูก
เป็นต้น
ตั้งศูนย์บริการ-ดันอีแค็ตตาล็อก
ขั้นตอนห้า
จัดตั้งศูนย์บริการเพื่อเป็นศูนย์รวมเกษตรกรให้ใช้ไอทีผ่านการนำเสนอและถ่ายทอดข้อมูลการเกษตร
ตลอดจนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
โดยการตั้งศูนย์ส่วนหนึ่งจะขอใช้สถานที่ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
7,000 แห่งทั่วประเทศ ขั้นสุดท้าย ผลักดันสู่ระบบอี-คอมเมิร์ซ
โดยต้องการให้เกิดเป็นแค็ตตาล็อกออนไลน์ที่เกษตรกรสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า,
กระดานซื้อขาย และเกิดการติดต่อนำไปสู่การค้าขายในอนาคตมีเป้าหมาย
เพื่อพัฒนาชุมชนให้เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับเวบไซต์ของหน่วยงานอื่นในอนาคต
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 มกราคม
2545
|