ไอซีทีเอเชียตะวันออก
ใครที่อยู่ในแวดวงเศรษฐกิจการเมืองของภูมิภาคอาเซียน
คงเข้าใจดี ถึงความเป็นไป ของสิ่งที่เรียกว่า "ความร่วมมือ" ในหมู่ประเทศสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่สิบประเทศ นับจากรุ่นแรกที่ร่วมกันก่อตั้งสมาคมประชาชาตินี้ขึ้นมา
คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไนดารุสซาลาม
มาจนถึงรุ่นถัดมาคือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม
ที่มักเรียกกันติดปากว่ากลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี
(Cambodia/Laos/Myanmar/Vietnam) นั่นเอง ผลงานการรวมกลุ่มที่ลือเลื่องกันมานับทศวรรษ
คือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ซึ่งก็มีส่วนที่สำเร็จ
และส่วนที่ต้องล้มลุกคลุกคลานกันไปบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดเก็บภาษี เพื่อให้เป็นพื้นที่ที่มีกำแพงกีดขวางการค้าที่น้อยที่สุดเท่าที่แต่ละประเทศจะยอมได้
แม้จะพยายามปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเองมากเกินไปในเวทีและวาระการเจรจาต่างๆ
แต่ในบางครั้งอาเซียนก็ดูเหมือนว่า จะมีสมานฉันท์กันได้ในบางเรื่อง และความที่เป็นกลุ่มอาเซียนก็ทำให้มีราคาต่อรองกับกลุ่มอื่นๆ
ของโลกได้อย่างน่ายินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลประโยชน์ของกลุ่ม เป็นผลประโยชน์ของแต่ละประเทศได้ด้วย
ทางด้านไอซีทีตามที่ได้เคยเรียนให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบมาบ้างแล้ว อาเซียนก็มีข้อตกลง
"อี-อาเซียน" ที่ผู้นำเห็นพ้องกันตั้งแต่สองสามปีที่แล้วมา
และก็ได้มีกิจกรรม ที่เอาไอซีทีมาผลักดันทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ทางด้านนโยบายและปฏิบัติ
ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แนวคิดล่าสุดคือการขยายวงของความร่วมมือออกไปยังประเทศ
ยักษ์ใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านไม่ห่างไกลเกินไปนัก ยักษ์ใหญ่ที่ว่านี้ไม่ใช่ใครอื่น คือ
จีนแผ่นดินใหญ่ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น นั่นเอง
ผู้นำของสามประเทศในอาเซียน (ไทย มาเลเซีย
สิงคโปร์) พูดในงาน World Economic Forum ที่กัวลาลัมเปอร์เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสัญญาณค่อนข้างสอดคล้องกันในประเด็นความสำคัญของอาเซียนที่จะต้องเร่งสังฆกรรมกับกลุ่ม
"บวกสาม" หรือสามยักษ์ข้างต้น ทั้งนี้คงเพราะอาเซียนเริ่มตระหนักถึง
ภูมิศาสตร์การเมือง" ของโลก เมื่อศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้ายจากสหรัฐอเมริกา มายุโรปและเอเชีย และเมื่อพิจารณาถึงศักยภาพของเอเชียแล้ว
เอเชียเคยแสดงฝีมือให้ดูในฐานะ เสือและมังกรมาหนหนึ่งแล้ว
แต่พังพาบกันไปบ้างเพราะสะดุดขาหรือหางของตัวเอง แต่หากล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ก็คงจะแข็งแกร่งกันขึ้นมาได้อีก
ยิ่งเมื่อจีนเข้าสู่สมรภูมิเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการผ่านองค์การการค้าโลกหรือ WTO
ยิ่งเชื่อขนมกินได้ว่าภูมิภาคแห่งนี้
กำลังจะชี้นำเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ภูมิภาคดังกล่าวคือ "เอเชียตะวันออก" นั่นเอง !!!
ด้วยตรรกดังกล่าว อี-อาเซียน จึงเริ่มเบนเข็ม
จากการพัฒนา "ภายใน" อาเซียนเอง
มาสู่การ ผนวกกิจการความร่วมมือ กับสามยักษ์ใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สามยักษ์ใหญ่เมื่อรวมกับอาเซียน
ก็จะกลายเป็นภูมิภาค ที่มีประชากรรวมทั้งสิ้นสองพันล้านคน ซึ่งหมายถึงแรงงานทั้ง
ราคาถูกและแพง ปัญญาที่มีคุณค่าของเอเชีย และทรัพยากร อีกมหาศาล
ในขณะที่จีนมีตลาดมหึมา ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีและทุน เกาหลีมีประชากร
และรัฐที่มุ่งมั่นและทำจริง ในขณะที่อาเซียน พยายามปรับฐานให้ห่างกันน้อยลง
จากการประชุม อี-อาเซียน เมื่อเร็วๆ นี้ อาเซียนกำลังมีกิจกรรมไอซีทีกับประเทศบวกสามมากขึ้นอย่างผิดตา
จีนกำลังเริ่มเข้าวงจรอาเซียน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการทำข้อตกลงไอซีทีกับอาเซียน
ซึ่งจะเริ่มจากความร่วมมือ ทางด้านทรัพยากรบุคคล การค้าการลงทุนด้านไอที
ตลอดจนมาตรการความร่วมมือ ในการรักษาความมั่นคงของสารสนเทศ (Information
Security) ในขณะที่เกาหลีก็เปิดเกมรุกโดยประธานาธิบดีคิม แด จุง ซึ่งใจกว้างถึงขนาดให้เงินสนับสนุน
อาเซียนในกิจการไอซีที เป็นเม็ดเงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
เป็นเวลาห้าปีนับจากนี้ไป และจะใช้เงินนี้ในการลดช่องว่างดิจิทัลของภูมิภาคนี้เป็นส่วนใหญ่
ญี่ปุ่นเจ้าเก่าของเราก็ยังประกบติดกับอาเซียน
อาจเพราะกลัวจีนมาก อาศัยความแข็งแกร่งของเอกชนญี่ปุ่นก็ยังคง
ดึงอาเซียนให้ทำงานร่วมกัน ได้ในหลายช่องทาง นับตั้งแต่เรื่องอีดีไอทางการค้า
เรื่องการศึกษาผ่าน e-Learning
ตลอดจนเรื่องคอมพิวเตอร์แปลภาษา จะเห็นได้ว่ายักษ์แต่ละตัวล้วนมีจุดยืนของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน
จะมีก็แต่ยักษ์หลายแขนหลายขาอย่างอาเซียนเอง ที่จะต้องปรับทัศนคติใหม่โดยเร็ว ให้คิดถึงตัวเอง
(ประเทศ) ให้น้อยลงสักนิด
และคิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม (อาเซียนเอง) ให้มากขึ้น หาไม่แล้วจะไปไม่รอดทั้งส่วนรวมและส่วนตัว
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
(กรุงเทพไอที) ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2545
|