อีริคสันเผยผลสำเร็จพัฒนามือถือ แก้ปัญหาการใช้งานสลับโครงข่าย
อีริคสัน เผยผลสำเร็จพัฒนาต้นแบบมือถือ ที่สามารถรองรับการใช้งานโครงข่ายในปัจจุบัน
และโครงข่าย
3จีได้โดยปราศจากปัญหาสายหลุด พร้อมเผยแผนขายแบบต่อให้ผู้ผลิตชั้นนำ
ระบุล่าสุดโซนี่ อีริคสัน และแอลจี อิเล็กทรอนิกส์ ได้สิทธิเตรียมนำไปใช้ผลิตมือถือของตนแล้ว
ตัวแทนบริษัทเทเลฟอน เอบี แอล.เอ็ม อีริคสัน
ในสวีเดน เปิดเผยว่า บริษัทได้สาธิตการใช้งานชุดอุปกรณ์ดังกล่าวให้กับตัวแทนบริษัทเทเลีย
เอบี ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในสวีเดน และบริษัท ฮัทชิสัน วัมเปา จำกัด ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของฮ่องกง
ซึ่งคาดหวังว่า จะเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3จีในยุโรป เนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายคันนิ่ง ฟอค
กรรมการผู้จัดการบริษัท ฮัทชิสัน วัมเปา ตั้งข้อสังเกตว่า การใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
อาจประสบปัญหาการสลับใช้งานระหว่างโครงข่ายที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันกับโครงข่าย
3จีได้
อย่างไรก็ดี บริษัทอีริคสัน เปิดเผยว่า บริษัทจะไม่ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นดังกล่าวเอง
แต่ออกแบบชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของโทรศัพท์ทั้งหมด และขายแบบต่อให้กับผู้ผลิตชุดอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ
ซึ่งบริษัท โซนี่ อีริคสัน โมบาย คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด
ธุรกิจร่วมทุนระหว่างบริษัทอีริคสัน และบริษัทโซนี่ คอร์ป. ในโตเกียว
และบริษัทแอลจี อิเล็กทรอนิกส์ โค. ของเกาหลีใต้ ได้รับสิทธิบัตรแบบมือถือ
3จีจากบริษัทอีริคสันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทฮัทชิสัน
และผู้ให้บริการสัญชาติยุโรปรายอื่น วางแผนจะเปิดให้บริการโครงข่าย 3จี
เฉพาะในหัวเมืองใหญ่ในช่วงแรก โดยจะใช้โครงข่ายที่มีอยู่
รองรับการเปิดให้บริการในเขตพื้นที่ชานเมืองและชนบท
โนเกีย-โมโตฯ ร่วมวง
ด้านโฆษกบริษัทโนเกีย ในฟินแลนด์
ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 1 ของโลก ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ปัญหาการสลับโครงข่ายก่อนที่จะมีการเปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่
3จี เครื่องแรกของบริษัทในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) นี้ ขณะที่โฆษกบริษัทโมโตโรล่า อิงค์. ซึ่งเปิดตัวโทรศัพท์ 3จีไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานโครงข่ายและชุดอุปกรณ์ของผู้ผลิตรายเดียวกันนั้น
สามารถแก้ไขได้ง่ายที่สุด แต่ปฏิเสธที่จะระบุว่า บริษัทโมโตโรล่า ในเมืองชอมเบิร์ก
มลรัฐอิลลินอยส์แห่งนี้ จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แล้วเสร็จเมื่อใด
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 25 กันยายน 2545
|