กลุ่มอุตฯไฟฟ้าโวยอียูตัด GSP เกณฑ์โหดเจอเต็มๆ 100 รายการ
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หนีไม่รอดถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษ
GSP ปีนี้กว่า 100 รายการ ครอบคลุมพิกัด 84 กับ 85 ทั้งวิทยุ-โทรทัศน์-วิดีโอ-หลอดไฟฟ้า-เครื่องจักรโดนหมด
กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมฯดิ้น ยื่นเรื่องถึงกรมการค้าต่างประเทศ
(คต.) ขอแสดงจุดยืนไทย แนะสหภาพไม่ควรตัดสิทธิพิเศษ
GSP ในรายการที่ตัวเองไม่ได้ผลิตหรือผลิตน้อย รวมไปถึงขอให้ใช้พิกัด
6 หลักในการพิจารณาจะลดจำนวนรายการสินค้าที่ถูกตัดสิทธิได้มากกว่าใช้พิกัด
2 หลัก
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์
รองเลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาห กรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยกับ "ประชา
ชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้สหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณาออกประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร (GSP) ในหมวดสินค้า 7 กลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มของเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์รวมอยู่ในการพิจารณาด้วย
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอให้การตัดสิทธิพิเศษ GSP สินค้าในหมวดนี้ตั้งแต่วันที่
1 เมษายน 2546 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ เงื่อนไขการพิจารณาตัดสิทธิพิเศษ GSP ของสหภาพยุโรป
จะประกอบไปด้วย 1) พิจารณาจากเกณฑ์การนำเข้าที่เกินร้อยละ 25
ของสินค้ากลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 2) สินค้าในหมวดไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่จะมีการตัดสิทธิพิเศษ GSP จะครอบคลุมพิกัดศุลกากรประเภท 84 กับ 85 ซึ่งครอบคลุมสินค้ากว่า 100 รายการ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้า,
เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า, เครื่องรับโทรทัศน์,
เครื่องรับวิทยุกระจายเสียง, เครื่องบันทึก,
วิดีโอ มอนิเตอร์ เครื่องฉายวิดีโอ, เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับให้แสงสว่างหรือให้สัญญาณ
และ 3) มูลค่าการนำเข้าที่นำมาพิจารณาตัดสิทธิพิเศษ GSP
ในปี 2546 นี้จะคำนวณย้อนหลังจากปี
2540-2542
อย่างไรก็ตาม ทางผู้ประกอบการไทยได้มีการเคลื่อนไหวด้วยการประสานงานไปยังกรมการค้าต่างประเทศ
(คต.) กระทรวงพาณิชย์
เพื่อขอให้ดำเนินการเจรจาเพื่อยืดเวลาการตัดสิทธิพิเศษ GSP จากวันที่
1 เมษายน 2546 ออกไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2547 เพื่อขอระยะเวลาปรับตัว นอกจาก นี้ทางกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังต้องการจะแสดงจุดยืนไปยังสหภาพยุโรปเกี่ยวกับปัญหาและข้อเท็จจริงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นด้วย
โดยจุดยืนที่ได้แสดงเป็นข้อเสนอแนะไปยังสหภาพยุโรปที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการพิจารณาตัดสิทธิพิเศษ
GSP คือ 1) การตัดสิทธิพิเศษ GSP ควรพิจารณาเฉพาะสินค้าที่นำเข้าและส่งผลกระทบ กับอุตสาหกรรมการผลิตในสหภาพยุโรปเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น สินค้าหลอดภาพและโทรทัศน์ ซึ่งปัจจุบันสหภาพยุโรปมีการผลิตน้อยและมีการนำเข้าจากประเทศตุรกีและกลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวัน
ออกเฉียงใต้แทน แต่รายการสินค้าดังกล่าวกลับเป็นสินค้าที่ถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษ
GSP ในปีนี้
2) พิกัดสินค้าศุลกากร ควรระบุเป็นพิกัดย่อย 6 หลักเพื่อให้เกิดความชัดเจนและครอบคลุมสินค้าเฉพาะในรายการ สร้างผลกระทบต่อการผลิตภายในสหภาพยุโรป
และ 3) มูลค่าของการนำเข้าที่นำมาพิจารณาตัดสิทธิพิเศษ GSP
ควรนำข้อมูลปัจจุบันมาพิจารณามากกว่าที่จะใช้ข้อมูลในอดีต เพื่อจะได้สะท้อนถึงสถานการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด
"เงื่อนไขการตัดสิทธิพิเศษ GSP ของสหภาพยุโรปในพิกัดศุลกากร
84 กับ 85 ครอบคลุมกว่า 100 รายการสินค้า ซึ่งในความเป็นจริงน่าลงพิกัดในรายสินค้าที่กระทบต่ออุตสาหกรรมในสหภาพยุโรป
ไม่ใช่รวมกลุ่มใหญ่เพราะมีสินค้าที่ส่งออกเกินเกณฑ์การนำเข้าเพียง 30 กว่ารายการเท่านั้น และใน 30
รายการก็เชื่อมโยงกับเงื่อนไขภาษีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ให้มีการลดภาษีการนำเข้าให้เหลือร้อยละ
0 ซึ่งถ้าหากเหมารวมหมดสินค้ารายการดังกล่าวก็จะต้องโดยหางเลขไปด้วย"
นายมนตรีกล่าว สำหรับหมวดสินค้าที่สหภาพยุโรปได้มีการพิจารณาตัดสิทธิพิเศษ
GSP ทั้งหมด 7 กลุ่ม ประกอบด้วย
สินค้าเกษตร 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประมง
กับกลุ่มอาหารปรุงแต่ง ซึ่งถูกตัดสิทธิพิเศษ GSP ไปตั้งแต่ปี
2540 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ และฝ่ายไทยได้ดำเนินการเรียกร้องขอให้คืนสิทธิพิเศษ
GSP มาโดยตลอด
กับสินค้าในหมวดอุตสาหกรรม 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก/ยาง, กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง กลุ่มรองเท้า,
ดอกไม้ประดิษฐ์, กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ
กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า สำหรับกลุ่มสินค้าอุต สาหกรรมช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2545 การส่งออกทั้ง 5 กลุ่มมีมูลค่า
3,483.87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 73 ของการส่งออกในปี 2544
ตลอดทั้งปีคาดว่าการส่งออกจะเพิ่มมากขึ้นในปี 2546
เนื่องจากอัตราภาษีตามปกติ (MFN Late) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมทั้ง
5 กลุ่มไม่สูงและมีสินค้าหลายรายการที่ภาษี MFN ลดลงเหลือร้อยละ 0
โดยเฉพาะรายการเครื่องใช้ไฟฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งมีภาษี MFN ร้อยละ
0
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 7 เมษายน 2546
|