เดลต้าหันผลิตชิ้นส่วนป้อนสื่อสาร-รถยนต์
หนีสภาวะแข่งขันจากตลาดจีน-คอมพ์ซบ
เดลต้า
รุกหนักผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ป้อนโทรคมนาคม-รถยนต์ หนีการแข่งขันตลาดจีน-ตลาดคอมพิวเตอร์ชะลอตัว ย้ำเมอร์ริล ลินช์ คาดยอดโน้ตบุ๊คชะลอตัว
ไม่กระเทือนบริษัท เหตุเป็นรายได้ส่วนน้อย ทั้งลูกค้ายังไม่ชะลอคำสั่งซื้อ
นายอนุสรณ์ มุทราอิศ กรรมการบริษัท บริษัทเดลต้า
อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า บริษัทลดกำลังการผลิตสวิตชิ่ง เพาเวอร์ ซัปพลาย และแบร์โบน
คอมพิวเตอร์ลงแล้ว โดยเฉพาะในโรงงานแห่งที่ 5 อันเป็นผลจากต้นทุนที่สูงกว่าจีนทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้
ดังนั้น ปัจจุบันจึงผลิตเพียงอะแดปเตอร์
และชาร์เจอร์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเท่านั้น พร้อมกันนี้ ยังผลิตจอแอลซีดี
และจอพลาสมา ซึ่งจอแอลซีดีของบริษัทมีจุดเด่นที่เป็นทั้งทีวีและมอนิเตอร์ในเครื่องเดียวกัน
นอกจากนั้น บริษัทได้มุ่งสู่การขยายการผลิตสินค้าใหม่ๆ
ในกลุ่มโทรคมนาคมและตลาดรถยนต์มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับบน เพราะมีกำไรสูงกว่าการผลิตในตลาดคอมพิวเตอร์เดิม
ประกอบด้วย อุปกรณ์ชาร์เจอร์และอะแดปเตอร์ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งของอีริคสัน โนเกีย
และซีเมนส์ รวมถึงแผงวงจรที่ใช้ในมือถือและสถานีฐาน (เบส สเตชั่น)
ทั้งยังผลิตอุปกรณ์เพาเวอร์ ซัปพลายให้กับบริษัทสื่อสารขนาดใหญ่
เช่น บมจ.ทศท คอร์ปอเรชั่น และกลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น โดยมีมูลค่าการขายต่อหนึ่งเพาเวอร์ซัปพลายอยู่ที่
1-10 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเพาเวอร์ซัปพลายในคอมพิวเตอร์ "บริษัทอาศัยฐานวิจัยและพัฒนาจากบริษัท
เดลต้า เอนเนอร์ยี่ ซิสเต็ม ซึ่งเปลี่ยนชื่อจากบริษัท Ascom Energy System
(AES) ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเพาเวอร์ ซัปพลาย รายใหญ่สุดในยุโรปที่ได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
ทำให้เสริมความแข็งแกร่งในตลาดโทรคมนาคมให้กับบริษัทได้มาก" นายอนุสรณ์ กล่าว
ส่วนตลาดรถยนต์นั้น ล่าสุดบริษัทพัฒนาต้นแบบเซ็นเซอร์ที่ใช้เครื่องปัดน้ำฝนและระบบเซ็นเซอร์
เอบีเอส และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเบาะรถยนต์ (พาวเวอร์ ซีท) ที่สามารถจดจำลักษณะการนั่งของคนนั่งแต่ละคนและปรับให้อัตโนมัติได้ อีกทั้งบริษัทยังผลิตต้นแบบกล่องดำบันทึกการขับรถยนต์
ที่มีลักษณะการใช้งานเหมือนกล่องดำในเครื่องบิน เพื่อติดตั้งในรถยนต์ใหม่ๆ ของอเมริกา
ซึ่งกำลังเพิ่มความนิยมมากเรื่อยๆ โดยรถที่ติดอุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถลดเบี้ยประกันรถยนต์ลง
ทั้งนี้ บริษัทเริ่มส่งต้นแบบให้ลูกค้าในอเมริกาแล้ว
สำหรับการปรับธุรกิจดังกล่าว
ทำให้บริษัทใช้กำลังคนลดลงจาก 20,000 คน เหลือ 15,000 คน โดยหันไปจ้างบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า
(ทรานฟอร์มเมอร์) แทน
เพราะเป็นสินค้ามูลค่าต่ำแต่ใช้กำลังคนสูง ทั้งนี้ บริษัทถ่ายโอนความรู้
และให้ใช้อุปกรณ์เครื่องมือ และวัตถุดิบเพื่อการผลิต
ซึ่งโดยมากบริษัทรับจ้างผลิตเหล่านี้คือ อดีตพนักงานเดลต้า โดยการจ้างงานผลิตดังกล่าวคิดเป็นมูลค่า
100 ล้านบาทต่อเดือน และช่วยให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น 7,000 คน
ส่วนตลาดโน้ตบุ๊คที่บริษัทเมอร์ริล ลินช์
คาดว่าจะหดตัวลงนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการชะลอคำสั่งซื้อจากลูกค้า
แต่เดิมสัดส่วนตลาดนี้ก็ไม่สูงอยู่แล้ว หากส่วนตัวเชื่อว่า
ตลาดน่าจะยังไม่ชะลอตัวลง เพราะถึงจุดเปลี่ยนที่การใช้โน้ตบุ๊คต้องสามารถเชื่อมต่อไร้สายได้
โดยเฉพาะพนักงานองค์กรซึ่งสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลองค์กรได้ บริษัทคาดว่า ปีนี้
น่าจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 1,200 - 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เติบโตกว่า 20% โดยตลาดรถยนต์ ปีนี้จะเป็นสัดส่วนรายได้ 5%
และโทรคมนาคมมากกว่า 50%
อย่างไรก็ตาม ด้านรอยเตอร์รายงานวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า กระแสวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะสินค้าล้นตลาด
รวมถึงความต้องการที่ซบเซาลงในธุรกิจชิพ ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์
อาทิ อินเทล และโนเวลลัส ในตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวลดลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 ก.ค.) ราคาหุ้นที่ร่วงลงยังมีผลมาจากการปรับลดอันดับการลงทุนในธุรกิจเซมิคอนดัคเตอร์ทั่วโลกของเมอร์ริล
ลินช์ จากระดับสูงมาอยู่ที่ระดับต่ำ หลังจากชี้ว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบัน
และปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของรายได้ประจำปี 2548
ของธุรกิจดังกล่าว จาก 16% เหลือเพียง 6%
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 14 กรกฎาคม 2547
|