จีนประกาศศักดาพัฒนาชิพดีเอสพี
นักวิจัยแดนมังกร
เผยโครงการพัฒนาตัวประมวลผลความเร็วสูง ระบุมีความสามารถใกล้เคียงกับชิพของชาติตะวันตก
ขณะที่ย้ำเป้าหมายชัดเดินหน้าแก้ข้อบกพร่องพร้อมส่งออกแข่งขันในตลาดโลก
สำนักข่าวซีเน็ต รายงานว่า ชิพความเร็วสูง หรือ
ดีเอสพี (Digital
signal processors) เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของโทรศัพท์มือถือ
กล้องดิจิทัล และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
ซึ่งทำหน้าที่แปลงข้อมูลระบบอนาล็อก ทั้งเสียง ดนตรี และภาพ เป็นตัวเลข 1 และ 0 ของระบบดิจิทัล พร้อมปรับเพิ่มความสามารถให้เหมาะสม
เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเซียงไฮ้ เจียว ตง เปิดเผยว่า ชิพดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า
ไฮซิส หมายเลข 1 (HISYS No. 1) มีความสามารถใกล้เคียงกับชิพระดับกลางของผู้ผลิตชาติตะวันตก
แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอีกไม่ช้า เนื่องจาก จีน เป็นตลาดโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของโลก
โดยนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ผู้ผลิตต่างชาติ
ซึ่งนำโดยบริษัทเท็กซัส อินสทรูเมนท์ ขายชิพดีเอสพีในจีนได้คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ภาครัฐและบริษัทเอกชน ยังทุ่มทุนจำนวนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนประเทศจีนให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดัคเตอร์
"ผมหวังว่าผู้แทนจำหน่ายภายในประเทศจะสนับสนุนชิพที่พัฒนาและผลิตขึ้นในประเทศ"
นายเซียนวู เซียะ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้ เจียว ตง กล่าว
พร้อมเสริมว่า ในขณะนี้บริษัทไต้หวัน ได้สั่งซื้อชิพดังกล่าวแล้วกว่า 300,000 ตัว ขณะที่ยอมรับว่าชิพไฮซิส นับเบอร์ 1
ยังคงมีจุดบกพร่องในเรื่องของความสามารถ
เจ้าหน้าที่คนเดิม กล่าวอีกว่า
ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งประกอบด้วยแบบชิพ การบรรจุหีบห่อ และกระบวนการผลิต
ของชิพไฮซิสดังกล่าว ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นกลาง
ก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา สถาบันวิทยาศาสตร์จีน
ได้เปิดตัวโครงการผลิตชิพประมวลผลสำหรับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการลินิกซ์ ซึ่งมีศาสตราจารย์จิน
เฉิน เป็นผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว และมีระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 2 ปี โดยชิพ 16-บิต ซึ่งใช้กระบวนการผลิต 180-นาโนมิเตอร์ในการผลิต และนับว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับตลาดในจีน
จะทำงานที่ระดับความเร็ว 200 เมกะเฮิรตซ์ และใช้สิทธิบัตรแห่งชาติทั้งสิ้น
6 ฉบับ ส่วนชิพ 24-บิต เวอร์ชั่นทดสอบ อยู่ระหว่างการพัฒนาและยังไม่สามารถนำมาใช้งานได้
ขณะที่เวอร์ชั่น 32-บิต คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จประมาณสิ้นปีนี้
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 4 มีนาคม 2546
|