ซัมซุง-ฟิลิปส์ นำทีมผู้ผลิตต่างชาติ ประกาศโครงการร่วมมือพัฒนาเครือข่าย 3จี "ทีดี-เอสดีซีเอ็มเอ" ของจีน เล็งตั้งบริษัทร่วมทุนผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์เล่นเกมการเมือง เหตุไม่เปิดเผยงบประมาณลงทุน พร้อมระบุมาตรฐานยังล้าหลังคู่แข่ง

หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติจำนวนมาก ประกาศร่วมสนับสนุนมาตรฐาน "ทีดี-เอสซีดีเอ็มเอ" (time division synchronous code division multiple access-TD-SCDMA) เครือข่ายไร้สายสำหรับยุคหน้าของจีน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) บริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งเกาหลีใต้ และบริษัทฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตชิพของยุโรป ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัทพัฒนาเครือข่ายทีดี-เอสซีดีเอ็มเอรายใหญ่ ต้าถัง โมบาย คอมมูนิเคชั่นส์ เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ขึ้น ตัวแทนบริษัททั้งสาม เปิดเผยในแถลงการณ์ว่า บริษัทร่วมทุนดังกล่าว จะมีชื่อว่า ที3จี เทคโนโลยี และจะมีหน้าที่ผลิตชุดชิพ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตมือถือสำหรับเครือข่ายไร้สายของจีน

นอกจากนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.) บริษัทเอสที ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์อันดับ 4 ของโลก กล่าวว่า ตนจะซื้อลิขสิทธิ์เทคโนโลยีของต้าถัง เพื่อนำมาใช้พัฒนาชิ้นส่วนชิพ สำหรับโทรศัพท์ระบบทีดี-เอสซีดีเอ็มเอในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างชาติเหล่านี้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณที่เตรียมใช้ร่วมลงทุนแต่อย่างใด ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากตั้งข้อสงสัยว่า ทางบริษัทอาจประกาศแถลงการณ์ดังกล่าวเพื่อเอาใจรัฐบาลจีนเท่านั้น โดยขณะนี้ เครือข่ายที่จีนพัฒนาขึ้นยังนับว่าล้าหลังมาตรฐาน 3จีระบบอื่นๆ มาก อาทิ ซีดีเอ็มเอ2000 (CDMA2000) และไวด์แบนด์ซีดีเอ็มเอ (WCDMA) และยังไม่เคยมีการทดสอบการทำงานของระบบแต่อย่างใด แต่เนื่องจากจีนเป็นตลาดมือถือที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้หลายฝ่ายมองว่าการประกาศสนับสนุนครั้งนี้อาจมีจุดมุ่งหมายด้านการเมือง

ด้านผู้สนับสนุนเครือข่าย 3จี ของจีน กล่าวว่า ขณะนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวต้องการเพียงเงินลงทุนด้านการค้นคว้าและพัฒนาที่เพียงพอเท่านั้น เพื่อให้สามารถเปิดบริการได้จริง แต่เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายได้ทุ่มเงินลงทุนสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้เครือข่ายยุคหน้าอีก 2 ระบบไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเพิ่มงบประมาณในการสนับสนุนมาตรฐานที่ 3 ได้

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2546