อังกฤษพัฒนาอุปกรณ์ชาร์จไฟไร้สาย ระบุแค่วางก็เริ่มต้นทำงานได้ทันที
บริษัทสแพลชเพาเวอร์ในอังกฤษ
เปิดประสบการณ์ในการอัดกระแสไฟฟ้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีชาร์จไฟแบบไม่ใช้สาย
พร้อมชูจุดขายสามารถทำงานได้พร้อมกันครั้งละหลายเครื่อง
สำนักข่าวบีบีซีนิวส์
รายงานว่า ระบบชาร์จไฟของสแพลชเพาเวอร์ เป็นแผ่นแบนเรียบขนาดเล็ก
ซึ่งสามารถเสียบเข้ากับอุปกรณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าตัวหลัก และโมดูลพิเศษในตัวอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
โดยผู้ใช้สามารถวางอุปกรณ์ลงบนแผ่นดังกล่าวและสามารถเริ่มต้นชาร์จไฟได้ทันที
นายเดวิด
ไวท์วูด รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของบริษัทสแพลชเพาเวอร์ เปิดเผยว่า เทคโนโลยีดังกล่าว
ใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าในการถ่ายโอนพลังงาน ซึ่งเคยมีใช้ในผลิตภัณฑ์
อย่างเช่น แปรงสีฟันไฟฟ้าแบบชาร์จไฟได้ "เทคโนโลยีดังกล่าวมีข้อจำกัดเยอะ แต่สแพลชเพาเวอร์สามารถพัฒนาโซลูชั่นสำหรับใช้งานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบเคลื่อนที่ได้"
นายไวท์วูด กล่าว พร้อมอธิบายว่า ระบบดังกล่าว
ทำงานด้วยการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะถ่ายโอนพลังงานเข้าสู่อุปกรณ์ทางโมดูลสแพลช
และจะส่งพลังงานเข้าสู่กระแสไฟฟ้าตรง ที่แบตเตอรี่ใช้ในการอัดกระแสไฟใหม่
นอกจากนี้
ตัวแทนบริษัทสแพลชเพาเวอร์ ยังย้ำอีกว่า ระบบดังกล่าวมีความปลอดภัยสูง และไม่ลบข้อมูลที่แถบแม่เหล็กของบัตรเครดิตกรณีที่ผู้ใช้วางลืมไว้บนแผ่นชาร์จดังกล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทในเมืองเคมบริดจ์แห่งนี้ ได้ดำเนินการเจรจาเพื่อรวมเทคโนโลยีตัวใหม่นี้ไว้ในผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่
"ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มเทคโนโลยีของบริษัทสแพลชเพาเวอร์ไว้ในโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องเล่นเอ็มพี3
ถูกมากๆ และผมคิดว่าผู้ผลิตสามารถทำได้" นายไวท์วูด
กล่าว
ด้านบริษัทสแพลชเพาเวอร์
ระบุว่า เทคโนโลยีดังกล่าว จะใช้เงินเพียง 25 เซนต์ เป็นค่าใช้จ่ายในการเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์และโมดูลที่มีความหนาน้อยกว่า
1 มิลลิเมตร พร้อมยืนยันว่า
จะให้ประโยชน์มูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจ อาทิ ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เนื่องจาก
สามารถลดค่าใช้จ่ายในการผลิตลงได้ "ทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ
อาจต้องเก็บชาร์จเจอร์ไว้ในลิ้นชักหรือขว้างทิ้ง
แต่ด้วยเทคโนโลยีสแพลชเพาเวอร์แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น" นายไวท์แมน กล่าว ทั้งนี้ ทางบริษัทสแพลชเพาเวอร์ วางแผนว่าจะวางตลาดแผ่นชาร์จไฟตัวแรกของบริษัทได้ประมาณสิ้นปีนี้
โดยจะมีราคาระหว่าง 25 - 50 ดอลลาร์ (1,050 - 2,100 บาท)
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 25 มีนาคม 2546
|