ส.ยานยนต์ชี้จุดบอดอุตฯชิ้นส่วน ขอเวลา 3 ปีดัน "ไทย" ฐานผลิตโลก
"ส.ยานยนต์" เดินหน้าเร่งโครงการผลักดันไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกรถยนต์ของโลกใน
3 ปี เน้นเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยี
ขอเวลา 6 เดือน เร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการศูนย์ทดสอบ ชี้ปัญหาเรื่องมาตรฐานเป็นปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมในขณะนี้
นายวัลลภ
เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ได้มอบนโยบายให้สถาบันยานยนต์เร่งเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งของโลกภายใน
3
ปี จากปัจจุบันไทยเป็นศูนย์กลางของรถกระบะมากกว่า 170,000-180,000 คัน โดยได้มอบหมายให้สถาบันยานยนต์ประสานงานกับภาคเอกชน เพื่อรวมกันพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ให้มีศักยภาพในการแข่งขันและผลิตสินค้าให้ได้ระดับมาตรฐานโลก
ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในหลายด้าน
ดังนั้นทางสถาบันจะให้การสนับสนุนทั้งการอบรมด้านวิชาการ และการจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานยานยนต์และชิ้นส่วน
พร้อมทั้งประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้มีหลักสูตรเกี่ยวกับวิศวกรยานยนต์
เนื่องจากสถาบันการศึกษามีแต่หลักสูตรการผลิตวิศวกรเครื่องจักรกล ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์
ขณะนี้ทางสถาบันและภาคเอกชนอยู่ระหว่างการศึกษาจัดตั้งกองทุน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาดังกล่าว
โดยในอีก 2-3 สัปดาห์ จะสรุปแนวทางการจัดตั้งและงบประมาณที่ภาคเอกชนจะให้การสนับสนุน
"ทางสถาบันได้เร่งจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานรถยนต์ เพื่อใช้สถานที่ตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วน
และยกระดับให้ชิ้นส่วนและอะไหล่ของประ เทศไทย ให้มีมาตรฐานะระดับโลก
ซึ่งรัฐบาลได้มอบเงินจำนวน 18 ล้านบาท และเอกชนได้มอบให้อีก 8 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นงบฯจัดตั้งและศึกษาความเป็นไปได้ โดยจะใช้เวลาในการศึกษาประ
มาณ 6 เดือน จากนั้นจะเริ่มลงทุนก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ
1,000 ล้านบาท"
ด้านนายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ในฐานะประ ธานคณะกรรมการพัฒนาเครือข่ายวิสาห กิจอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทยนั้น จำเป็นต้องจับมือกับผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
เนื่อง จากญี่ปุ่นมีความเข้มแข็งทางด้านเทคโน โลยีการวิจัย และพัฒนา นอกจากนี้จะต้องประสานงานผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนที่มีประชากรถึง
500 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่รองจากจีน
เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และความน่าลงทุนให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ก่อนที่นักลงทุนจะหันไปลงทุนในประเทศจีน
"ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันพัฒนาอุตสาห กรรมยานยนต์ของประเทศ
เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการผลิตและส่งออกยานยนต์ โดยต้องร่วมมือกันให้บริษัทรถยนต์หันมาลงทุนในประเทศไทยให้มากที่สุด
เพราะจีนเองก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของโอกาสเติบโตในตลาดที่ยังมีอีกมาก โดยดูจากอัตราเฉลี่ยการครอบครองรถยนต์ที่ยังต่ำมาก
โดยประชากร 1,000 คนมีการครอบครองรถยนต์เพียง 12 คัน, ไทย 102 คัน, อินโดนีเซีย 32 คัน และอินเดีย 8 คัน ทำให้ตลาดจีนยังน่าสนใจอย่างมาก"
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 18 สิงหาคม 2546
|