อาร์แอนด์ดีเซ็นเตอร์ หนทางสู่ดีทรอยต์เอเชีย
หลังจากจดจดจ้องๆ
เตรียมความพร้อมมากว่า 6 เดือน ในที่สุดกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ได้ฤกษ์เข้าพบนายใหญ่แห่งวงการอุตสาหกรรม
ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และนายกฯ ได้อนุมัติงบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อให้กลุ่มยานยนต์และหน่วยงานอื่นๆ ทำการศึกษาแผนงานต่างๆ
ที่จะผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น "ดีทรอยต์ออฟเอเชีย"
ที่สมบูรณ์แบบ
ในวันนั้นโครงการหลากหลายโครงการถูกงัดขึ้นมานำเสนอท่านนายกฯ รวมกันเป็นมูลค่ากว่า
1 หมื่นล้านบาทของงบประมาณการลงทุน แต่ที่สบอารมณ์ท่านนายกฯ คงหนี้ไม่พ้นข้อเสนอที่จะผลิตรถยนต์
1 ล้านคัน มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทในปี
2549 ซึ่งนายกฯทักษิณ
มิได้ลังเลใจรับข้อเสนอทั้งหมดในเบื้องต้น จนกลายเป็นที่มาของการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการศึกษาโครงงานโดยละเอียดอีกครั้ง
โดยงบประมาณที่ได้มา จะเน้นไปที่โครงการใหญ่ของประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความสามารถของบุคลากร
การเพิ่มขีดความสามารถของผู้ผลิตชิ้นส่วนด้วยการใช้วิธีแบบคลัสเตอร์ รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ด้วยการจัดตั้งศูนย์ทดสอบวิจัยและพัฒนายานยนต์ ซึ่งโครงการสุดท้าย เป็นโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าจริงๆ
ถึง 4.5 พันล้านบาท และการที่ได้รับเงินสนับสนุนโครงการในปีแรกถึง
20 ล้านบาท เป็นสิ่งที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทยรู้สึกว่ารัฐบาลเอาใจใส่อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างจริงจังก็คราวนี้เอง
ย้อนอดีตกลับเล็กน้อย โครงการนี้เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยของ "นายพิเชษฐ สถิรชวาล" ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น
ตอบรับคำร้องของกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ที่นำโดยนายปราโมทย์ พงษ์ทอง นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
แต่เพราะกระแสของรถสามล้อไทย ไชโยกลบไว้ ทำให้โครงการนี้ "ค้างเต่อ" เรื่อยมาถึงยุคของนายสมศักดิ์
เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในปัจจุบัน เมื่อมีการนัดแนะกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์
ประเด็นนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่มีการเสนอเข้ามาโดยนายกสมาคมคนเดิม และก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
สำหรับ Automotive Research and Testing Center หรือศูนย์ทดสอบวิจัยและพัฒนายานยนต์นั้น ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพมาตั้งแต่เริ่มงานได้แก่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
นำโดยนายดำริ สุโขธนัง ผู้อำนวยการ และสถาบันยานยนต์ที่นำโดยนายวัลลภ เตียศิริ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอี
ให้มีศูนย์ทดสอบคุณภาพและการพัฒนาชิ้นส่วนของประเทศไทย โดยคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
และขออนุมัติงบประมาณปี 2546 ที่ต้องตั้งเรื่องเบิกในเดือนมีนาคมนี้
เพื่อใช้เป็นงบฯในการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบฯทั้งหมดนี้ก่อนเดือนกันยายนที่กำลังจะถึงนี้
เป็นนิมิตหมายที่ดี ถึงการเอาจริงและความเร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจสั่งการลงมาโดยเด็ดขาด
โดยผู้ที่เข้ามาดูแลโครงการนี้ให้ก็หนีไม่พ้นรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ถือเป็นมือขวาและมือเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดนายกฯที่สุด
"ปราโมทย์ พงษ์ทอง" บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
โครงการนี้เป็นโครงการที่แยกออกมาจากเอเชี่ยน ออโต้ มอลล์
ของรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน เป็นโครงการสำหรับการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์อย่างแท้จริง
ซึ่งจะรวมในส่วนของสนามทดสอบหรือมูฟวิ่งกราวนด์ที่เคยพูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้เข้าไปด้วย
20 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินก้อนแรก
จะถูกนำมาใช้ในการศึกษาแผนงานของโครงการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ตั้ง
การก่อสร้าง ฟาซิลิตี้ภายในโครงการ รวมถึงเรื่องของบุคลากรและความช่วยเหลือจากภาครัฐบาลและเอกชนทั้งหมด
ส่วน 4.5 พันล้านที่จะนำมาทำให้เป็นจริงนั้น
ยังไม่รู้ว่าจะมาจากฝ่ายรัฐบาลหรือเอกชน แต่คิดว่าอีกไม่เกิน 2 ปีนับจากนี้ ศูนย์วิจัยในฝันของ เอสเอ็มอีไทยทั้งหลายน่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างเสียที
นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยว่า
ต้องตะเกียกตะกายในการออกสู่ตลาดต่างประเทศกันมากขึ้น ดังนั้นการมีศูนย์วิจัยและทดสอบของประเทศไทย
และอาจจะมีการรับรองมาตรฐานการผลิตให้โดยรัฐบาลไทย ถือว่าเป็นก้าวแรกที่จะช่วยผลักดันความฝันเหล่านั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้
โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เป็นสินค้าหลักของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ พาร์ต
ชิ้นส่วนหล่อ กระจก ไฟ โช้กอัพ รวมไปถึงเบาะ ซึ่งเรามีมาตรฐานที่ดีและพร้อมที่จะแข่งขันกับต่างชาติอย่างมาก
20 ล้านที่รัฐบาลอนุมัติ จะกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ทุกอย่างที่วางแผนไว้เป็นจริงในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกชิ้นส่วนจากประเทศไทยมูลค่า 2
แสนล้านบาท และการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมาอยู่ที่
60% จะบอกว่านี่เป็นก้าวแรกที่ต้องติดตามอย่างกระชั้นชิด เพราะโครงการนี้ถือเป็นการวัดดวงของผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทยทั้งหมดก็ว่าได้
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ อีก 3 ปีนับจากนี้
เราจะกลายเป็นผู้นำในตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ได้อย่างค่อนข้างแน่นอน !!!
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2546
|